ขณะเดียวกัน หอการค้าไทยเตรียมหารือในการช่วยเหลือชาวนาที่ได้รับความเดือดร้อนกรณีที่ยังไม่ได้รับเงินมจากโครงการรับจำนำข้าว เพราะทราบว่ามีชาวนาจำนวนมากเริ่มไปกู้เงินนอกระบบในอัตราดอกเบี้ย 3-5% ต่อเดือน หรือ 30-50% ต่อปี โดยจะนำเรื่องนี้ไปหารือกับสมาคมธนาคารไทย เพื่อหามาตรการผ่อนปรนในการนำใบประทวนในโครงการรับจำนำข้าวมาเป็นหลักทรัพย์มค้ำประกันขอสินเชื่อกับสถาบันการเงิน
ด้านนายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้ธุรกิจ SMEs ในทุกๆ ภูมิภาคยังคงประสบปัญหาเรื่องต้นทุนสินค้าและบริการที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ SMEs มีแนวโน้มปรับตัวลดลง เพราะปัญหาหลักคือ สินค้าหรือบริการเริ่มจะมีคุณภาพและความแตกต่างลดลงเมื่อเทียบกับคู่แข่งขัน ในขณะที่ต้นทุนต่อหน่วยกลับมีแนวโน้มสูงขึ้น
"ธุรกิจเอสเอ็มอีบางส่วนเริ่มจะมีสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในสัดส่วนที่มากเกินไป บางรายเกิดปัญหาการขาดแคลนสภาพคล่อง และยังมีการลงทุนเพื่อสร้างให้เกิดความยั่งยืนในอนาคต ทั้งด้านวิจัย และด้าน CSR อยู่ในระดับต่ำ" นายอิสระ กล่าว
พร้อมระบุว่า จากปัญหาเหล่านี้ทำให้หอการค้าไทยให้ความสำคัญกับการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของ SMEs และได้กำหนดเป็นนโยบายสำคัญเร่งด่วนที่จะต้องรีบดำเนินการให้เร็วที่สุด โดยจัดทำโครงการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ ด้วยการสัมมนา "เอสเอ็มอี…วิธีทำเงิน" ไปตามภูมิภาคต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้เอสเอ็มอีทั่วประเทศตระหนักถึงปัญหาและหาทางแก้ไข เพื่อรองรับกับโอกาสทางธุรกิจที่จะเกิดขึ้น ภายใต้ความผันผวนและการแข่งขันที่รุนแรงในอนาคต