ภาคเอกชนเผยนักธุรกิจญี่ปุ่นยังสนใจในลงทุนไทย แต่กังวลการเมืองยืดเยื้อ

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday January 28, 2014 12:55 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสุภศักดิ์ กฤษณามระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีลอยท์ ทู้ช โธมัทสุ ไชยยศ จำกัด(ดีลอยท์ ประเทศไทย) กล่าวว่า จากการเดินทางไปพบปะนักลงทุนชาวญี่ปุ่นในสองกลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญ คือ กลุ่มอุตสาหกรรมการเงิน และกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิต พบว่านักลงทุนญี่ปุ่นมองว่าประเทศไทยยังเป็นประเทศที่น่าสนใจลงทุนเนื่องจากมีปัจจัยเกื้อหนุนหลายด้าน อีกทั้งญี่ปุ่นมีการลงทุนในประเทศไทยมายาวนาน มีการสร้างฐานลูกค้าขนาดใหญ่และขยายกำลังการผลิต โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนได้กำหนดให้ไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ในขณะเดียวกันก็ยอมรับว่า สถานการณ์การเมืองของไทยที่ยังคงหาข้อสรุปไม่ได้และมีแนวโน้มยืดเยื้อในขณะนี้ เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ฉุดความเชื่อมั่นในการเข้ามาลงทุนเพิ่มของนักลงทุนญี่ปุ่น
"นักลงทุนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ยอมรับว่ามีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาด้านเสถียรภาพของรัฐบาล และสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองไทยที่มีแนวโน้มยืดเยื้อบานปลาย ซึ่งเราก็ได้มีการประเมินสถานการณ์ตามความเหมาะสม และแจ้งลูกค้าถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยเป็นระยะๆ" นายสุภศักดิ์ กล่าว

สำหรับภาคการเงินนอกจากนักลงทุนจะกังวลในเรื่องสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองแล้ว ยังมีความเป็นห่วงเรื่องการเพิ่มขึ้นของหนี้เสียในประเทศจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ผลกระทบในเชิงลบจากนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ และโครงสร้างผู้บริหาร กระบวนการทางราชการ รวมถึงบทบาทของคณะกรรมการตรวจสอบ ขณะที่ภาคการเงินไทยมีจุดแข็ง คือ การบริหารความเสี่ยงและการควบคุมหนี้เสียได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยธนาคารแห่งประเทศไทย นอกจากนี้นักลงทุนมองว่าขนาดและมูลค่าของตลาดการเงินไทยมีความน่าสนใจและเห็นโอกาสการลงทุนในตลาดการเงินและการเจริญเติบโตของตลาดนี้ในอนาคต

ส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนนักลงทุนญี่ปุ่นมีการขยายกำลังการผลิตในไทยมาโดยตลอด โดยมองว่า จุดแข็งของไทยคือกำลังซื้อภายในประเทศที่แข็งแกร่ง และการเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกยานยนต์และชิ้นส่วนที่มีศักยภาพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนจุดอ่อนที่สำคัญยังคงเป็นเรื่องความไม่มั่นคงทางการเมือง การบริหารสินค้าคงคลัง การตรวจสอบภายใน และปัญหาการทุจริตฉ้อฉล

นายสุภศักดิ์ กล่าว นอกจากสองภาคอุตสาหกรรมนี้แล้ว พบว่ามีอีกหลายภาคธุรกิจที่สนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เช่น ธุรกิจค้าปลีก, การเงิน, อิเล็กทรอนิกส์คอมเมิร์ช, พลังงาน รวมถึงภาคการบริการอื่น อย่างไรก็ตาม จุดอ่อน จุดแข็งต่างๆ รวมถึงสถานการณ์ปัจจุบันของไทย ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนนำมาพิจารณา

สำหรับการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) นั้น นายสุภศักดิ์ เล่าว่า นักลงทุนญี่ปุ่นมีความตื่นตัวและเตรียมพร้อมในการทำธุรกิจเป็นอย่างมาก โดยในฐานะที่ปรึกษาทางธุรกิจดีลอยท์ได้มีการอัพเดทสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ทั้งในประเทศไทยและประเทศสมาชิก AEC และกฎหมายที่สำคัญ ให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง รวมถึงข้อมูลความเสี่ยงในด้านต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้น และหนทางการแก้ปัญหา

นอกจากนี้ ดีลอยท์ยังมีหน่วยงาน Japanese Service Group(JSG) ที่มีผู้บริหารและทีมงานเป็นชาวญี่ปุ่น เพื่อสร้างการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพและความมั่นใจให้กับลูกค้าญี่ปุ่นโดยเฉพาะ มีการทำงานที่ร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) มุ่งเป้าไปที่ลูกค้าญี่ปุ่นของบริษัทและกลุ่มลูกค้าธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีความเหมาะสมในการได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ จาก BOI เช่น Regional Operating Headquarter (ROH) และเพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุนของนักลงทุนญี่ปุ่นในอนาคต

ทั้งนี้ บริษัท ดีลอยท์ ทู้ช โธมัทสุ ไชยยศ จำกัด(ดีลอยท์ ประเทศไทย) มีการประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับดีลอยท์ประเทศญี่ปุ่น และดีลอยท์เซ้าท์อีสต์เอเชีย เพื่อให้มั่นใจว่าการบริการสอดประสานไปในทิศทางเดียวกับลูกค้า โดยเฉพาะลูกค้าที่มีสำนักงานใหญ่ในญี่ปุ่นและมีบริษัทลูกในประเทศไทยรวมถึงในหลายประเทศในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ยังร่วมมือกับลูกค้าและทีมการตลาดในการหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ และนำเสนอแผนปฏิบัติการเพื่อนำมาซึ่งโอกาสที่เป็นไปได้อยู่เสมอ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ