ขณะที่ผู้ประกอบการอีก 70% ระบุยังไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมือง โดยในจำนวนนี้ 64% ระบุว่าลูกค้ายังเชื่อมั่นต่อธุรกิจและการสั่งซื้อยังปกติ, 24% ระบุกระบวนการส่งออกยังไม่ได้รับผลกระทบจากหน่วยงานที่ยังเปิดบริการได้ และอีก 13% ระบุการผลิตและส่งออกยังเป็นปกติ เพราะไม่อยู่ในจังหวัดที่มีการชุมนุมประท้วง
อย่างไรก็ตาม หากปัญหาการเมืองยังยืดเยื้อและรุนแรงถึงไตรมาส 2 ของปีนี้ อาจทำให้มูลค่าการส่งออกสินค้าไทยในปีนี้ขยายตัวลดลงเหลือเพียง 3.8% จากเป้าหมายที่คาดปีนี้ขยายตัว 5% และยังทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยปีนี้ อาจขยายตัวลดลงเหลือ 3% จากเป้าหมายที่คาดขยายตัวได้ 4-5% รวมถึงยังอาจทำให้การกำหนดนโยบายการบริหารประเทศ ที่จะทำให้ไทยสามารถแข่งขันได้ในเออีซีต้องถูกเลื่อนออกไป และกระทบต่อการลงนามกรอบความตกลงในการเปิดเสรีการค้าต่างๆ ได้
"ปัญหาการเมืองทำให้อันดับความสามารถในการแข่งขันของไทยในอาเซียนลดลง โดยจากปี 55 ไทยมีความสามารถในการแข่งขันในอาเซียนเป็นอันดับ 3 รองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย แต่ในปี 56 ตกมาอยู่ที่อันดับ 5 โดยเวียดนามและอินโดนีเซียแซงหน้า แต่ในปี 57 หากปัญหาการเมืองยังไม่ยุติ และยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้จนถึงกลางปีนี้ ก็มีความเป็นไปได้มากที่อาจตกลงมาอยู่อันดับ 6 ได้ โดยมีฟิลิปปินส์แซงหน้า แต่หลังจากนั้นไม่น่าตกลงมากกว่านี้อีกแล้ว เพราะที่เหลือเป็นประเทศในอินโดจีน อย่างลาว กัมพูชา และพม่า" นายอัทธ์ กล่าว
ส่วนการสำรวจความคิดเห็นภาคธุรกิจถึงความเข้าใจเกี่ยวกับเออีซีนั้น พบว่า ผู้ประกอบการมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น โดยธุรกิจใหญ่เข้าใจเกือบหมด แต่เอสเอ็มอี 39% ยังไม่เข้าใจว่าจะปรับตัว และใช้ประโยชน์จากเออีซีอย่างไร รวมถึงยังไม่เข้าใจเพราะขาดความชัดเจนในการประชาสัมพันธ์และประชาสัมพันธ์น้อย ขณะทีเอสเอ็มอีอีก 46% ยังไม่พร้อมจะแข่งขันในเออีซี หรือประมาณ 1.3 ล้านราย โดยธุรกิจที่ไม่พร้อมเข้าสู่การแข่งขันในเออีซีมากสุดคือเกษตร อาหาร และสิ่งทอ