ทั้งนี้ สมาคมฯได้มีการประสานความร่วมือกับองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (World Wildlife Fund หรือ WWF) และองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศด้านการประมงที่ยั่งยืน (Sustainable Fisheries Partnership หรือ SFP) เพื่อให้ร่างแผนการดำเนินการของประเทศมีกรอบ แผนพัฒนาและแนวทางปฏิบัติเป็นไปตามมาตรฐานสากล โดยทั้ง 2 องค์กร จะมีการนำเสนอแผนพัฒนาโดยใช้มาตรฐานของโครงการปรับปรุงการประมง (Fishery Improvement Project หรือ FIP) เป็นแนวทางในการดำเนินงาน ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนก.พ.นี้ และจะมีการนำร่างดังกล่าวมาพิจารณาร่วมกันกับทุกภาคส่วน (ภาครัฐ เอกชน และNGO) เพื่อประเมินสถานการณ์ประมงเทียบกับมาตรฐานความยั่งยืนการประมง เพื่อสรุปปัญหาและแนวทางแก้ไขในเดือนเม.ย. หลังจากนั้นจะจัดทำเป็นแผนการทำงานและประกาศเป็นแผนปฏิบัติการได้ตามเป้าหมายในเดือนก.ค.
อนึ่ง การจัดทำแผนการดำเนินการดังกล่าว เป็นความร่วมมือของ 8 สมาคมประมงที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย สมาคมการประมงแห่งประเทศไทย สมาคมการประมงนอกน่านน้ำไทย สมาคมผู้ผลิตปลาป่นไทย สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย สมาคมกุ้งไทย สมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย และสมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป
นายพรศิลป์ กล่าวว่า สมาคมฯเชื่อว่าจะสามารถดำเนินการตามแผนงานได้ภายในเดือนส.ค.ปีนี้ และจะมีการตรวจติดตามความคืบหน้าและสื่อสารไปยังผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายของการทำประมงอย่างยั่งยืนในอีก 5 ปีข้างหน้า
นายพรศิลป์ กล่าวต่อไปว่า ภายใต้สถานการณ์ทางการเมืองแตกแยกในประเทศไทยขณะนี้ เป็นแรงกดดันให้ภาคเอกชนต้องปรับแผนธุรกิจและมีการพัฒนามากกว่าปกติ เพื่อให้มั่นใจว่าธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น อุตสาหกรรมการประมงก็เป็นหนึ่งที่จะต้องขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและมีมาตรฐานสากลมารองรับ เพื่อให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนตามเป้าหมาย