ทั้งนี้ การประเมินตั้งอยู่บนสมมติฐานมูลค่าการส่งออกเฉลี่ยเดือนละ 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะทำให้การส่งออกทั้งปีนี้เติบโตได้ในระดับ 5% หากต้องการให้เติบโต 6% มูลค่าการส่งออกต้องเฉลี่ยเดือนละ 2.02 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และหากจะให้เติบโต 7% ต้องมีมูลค่าส่งออกเฉลี่ยเดือนละ 2.04 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้สูงที่ตัวเลขการส่งออกจะปรับตัวดีขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวชัดเจนขึ้น
“แม้ตัวเลขส่งออกเดือนม.ค.ออกมา 1.79 หมื่นล้านดอลลาร์ จะโตต่ำกว่าค่าเฉลี่ย แต่อย่าเพิ่งตีโพยตีพาย หรือตีตนไปก่อนว่าจะย่ำแย่ เพราะเชื่อว่าจะสามารถเร่งตัวขึ้นได้ เพราะปกติตัวเลขเดือนม.ค.จะมีความแปรปรวนค่อนข้างมากอยู่แล้ว ไม่เฉพาะประเทศไทย เห็นได้จากทั้งตัวเลขของสหรัฐก็มีเรื่องสภาพอากาศเข้ามาเกี่ยวข้อง และโดยปกติการส่งออกของไทยเดือนม.ค.ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มักต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของทุกเดือน"
สำหรับปัญหาสภาพคล่องของภาคธุรกิจในขณะนี้นั้น จากการสำรวจความเห็นของผู้ประกอบการภาคธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา ยอมรับว่าเริ่มมีปัญหาสภาพคล่องตึงตัว แต่ถือเป็นเรื่องธรรมดา เพราะในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอ ยอดขายหรือรายได้ของภาคธุรกิจอาจปรับลดลงบ้าง แต่ภาพรวมถือว่าไม่ได้น่าห่วงมากนัก ส่วนสถานการณ์เงินทุนเคลื่อนย้ายยังมีเงินทุนไหลออกบ้างในตลาดหุ้น แต่ถือว่าน้อยลงมากเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้ โดยเงินที่ไหลออกจากตลาดพันธบัตรก็ไม่ได้มีนัยสำคัญ ภาพรวมจึงถือว่าภาวะเงินทุนเคลื่อนย้ายค่อนข้างนิ่ง ขณะที่การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทก็ถือว่ามีเสถียรภาพสอดคล้องกับภูมิภาค
“ถ้าดูตัวเลขสุทธิตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ก็คงยังเป็นยอดไหลออกสุทธิอยู่ เพียงแต่ในช่วงหลังการเคลื่อนไหวของเงินทุนเคลื่อนย้ายค่อนข้างนิ่ง โดยเฉพาะช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาจะเห็นว่า ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในทิศทางที่สอดคล้องกับภูมิภาค และถ้าดูภาพรวมในตลาดเกิดใหม่ ก็ถือว่าค่อนข้างนิ่งเช่นกัน แต่เท่าที่ติดตามความเห็นของสำนักวิจัยในต่างประเทศ พบว่าเริ่มมีมุมมองที่เป็นบวกมากขึ้นในประเทศตลาดเกิดใหม่ จึงเชื่อว่าขณะนี้นักลงทุนต่างชาติกำลังรอดูจังหวะในการกลับเข้ามาลงทุนในไทยอีกครั้ง"นางรุ่ง กล่าว