"สิ่งที่น่าเป็นห่วงหากสถานการณ์การเมืองในไทยยังคงไม่มีเสถียรภาพ จะกระทบต่อการเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของไทยในอาเซียน หลังเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(เออีซี) ในปี 58 เพราะนักลงทุนจะไม่มั่นใจในเสถียรภาพของรัฐบาล และนโยบายของรัฐ โดยมีโอกาสที่ไทยจะเสียตำแหน่งให้กับสิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย โดยเฉพาะอินโดนีเซีย หากมีการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานและระบบคมนาคม มีโอกาสที่จะขึ้นเป็นศูนย์กลางอาเซียนได้ เพราะเป็นตลาดใหญ่ มีกำลังซื้อสูง มีแรงงานมาก" นายอัทธ์ กล่าว
ขณะที่นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ศูนย์ฯ ประเมินว่า ปัญหาการเมืองที่ยังไม่สามารถคลี่คลายได้จนถึงขณะนี้จะทำให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 57 ลงเหลือ 2-3% จากเดิมที่ประเมินว่าจะขยายตัว 3-4% และหากยังมีปัญหาต่อเนื่องไม่สามารถหาข้อยุติและตั้งรัฐบาลใหม่ได้ทันในครึ่งปีแรก เศรษฐกิจปีนี้จะไม่ขยายตัวเลย แต่หากเลยไปจนถึงไตรมาสที่ 3 ยังไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้ เศรษฐกิจปีนี้จะขยายตัวติดลบ 1%
สำหรับแนวทางในการพยุงเศรษฐกิจไทยในช่วงรัฐบาลรักษาการ จะต้องเร่งฟื้นฟูการท่องเที่ยวและรักษาบรรยากาศทางการเมืองไม่ให้เกิดความรุนแรง โดยต้องยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน รวมทั้งต้องส่งเสริมการค้าชายแดน การลงทุนของภาคเอกชน และเมื่อมีรัฐบาลใหม่ จะต้องเร่งปฏิรูปการเมือง และเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และต้องหาทางสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนต่างชาติไม่ให้ถอนการลงทุนจากไทย