"ไทยได้มีการเตรียมความพร้อมในการรวมตัวภาคการเงินมานานแล้ว และมีแผนการดำเนินงานอย่างเป็นขั้นตอนที่ชัดเจน ดังนั้นการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนของไทยจึงไม่ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบทางการเมือง นอกจากนี้เศรษฐกิจไทยก็ยังขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่ง" เอกสารเผยแพร่ ระบุ
ปลัดกระทรวงการคลัง ยังแจ้งที่ประชุมว่าการที่เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยได้รับผลดีในสาขาการส่งออก ดังนั้นแม้จะมีผลกระทบจากการเมืองภายในประเทศ แต่อุปสงค์ภายนอกประเทศ โดยเฉพาะจากกลุ่มประเทศ G-3 จะสามารถขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้ที่ 2.6% ต่อปีในปี 57 นอกจากนี้ยังมีความเห็นสอดคล้องกับ IMF ว่า การชะลอมาตรการ Quantitative Easing และผลกระทบจากความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้ายนั้นยังเป็นปัจจัยที่ยังน่าเป็นห่วงสำหรับเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเกิดใหม่ แต่ด้วยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศไทยทั้งในภาคการเงินและปริมาณเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่แข็งแกร่งนั้นทำให้เศรษฐกิจไทยพร้อมรองรับความเสี่ยงดังกล่าว
การประชุม รม.คลังอาเซียนครั้งที่ 18 มีขึ้นระหว่างวันที่ 4-5 เม.ย.57 ณ กรุงเนปิดอว์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ โดยมีนาย U Win Shein รมว.คลัง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ เป็นประธาน ซึ่งที่ประชุมได้ร่วมกันหารือถึงความคืบหน้าของการดำเนินงานด้านต่างๆที่เกี่ยวข้องกับกรอบการประชุม รมว.คลังอาเซียน และการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนตลอดช่วงปีที่ผ่านมา ตลอดจนการหารือเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกและผลต่อเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียน
โดยประเด็นหลักสำคัญ ได้แก่ 1.เศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียนมีการเติบโตที่แข็งแกร่งและขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่องจากปี 56 ที่มีอัตราการขยายตัวที่ 5.1% ต่อปี โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการส่งออกในช่วงครึ่งหลังของปี 56 ขณะที่อุปสงค์ภายในประเทศและภูมิภาคยังคงมีแรงสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับเสถียรภาพในภาคการธนาคารและภาคธุรกิจ และพื้นฐานเศรษฐกิจที่มั่นคง ทั้งนี้คาดว่าเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกอาเซียนในปี 57 จะขยายตัวในอัตรา 4.7-5.3% ต่อปี ซึ่งความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่อาเซียนอาจจะเผชิญที่สำคัญในปี 57 ได้แก่ 1) การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและญี่ปุ่นซึ่งอาจจะมากกว่าที่คาดไว้ 2) ความผันผวนของภาคการเงิน และเงินทุนเคลื่อนย้าย รวมถึงปฏิกริยาตอบรับที่เกินจริงในตลาดเงิน และ 3) แรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อ และการดำเนินโยบายการเงินแบบหดตัวของสหรัฐฯ ซึ่งที่ประชุมครั้งนี้ได้ให้ความสำคัญกับนโยบายที่มุ่งรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนและระบบการเงินเพื่อให้เกิดความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ โดยจะพึงระวังต่อการส่งผลต่อประเทศอื่นในภูมิภาค เน้นนโยบายการปฏิรูปเชิงโครงสร้างการสนับสนุนการลงทุนในภูมิภาค รวมถึงการยกระดับความร่วมมือและการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ
ประเด็นต่อมา 2.แผนการรวมตัวด้านนโยบายและระบบการเงินอาเซียน(Roadmap for Monetary and Financial Integration of ASEAN) ซึ่งช่วยสนับสนุนการเป็นตลาดและฐานการผลิตร่วมภายใต้แผนการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยมีความคืบหน้าหลักใน 3 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการเปิดเสรีบริการด้านการเงิน ประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ ได้เสร็จสิ้นการเจรจาการเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงินรอบที่ 6 ได้ตามแผน และกำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการระยะสุดท้ายเพื่อลงนามในร่างพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันการเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงินรอบที่ 6 และเตรียมพร้อมจะเริ่มการเจรจาการเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงินในรอบที่ 7 ต่อไป 2) ด้านการเชื่อมโยงตลาดหลักทรัพย์ในอาเซียน ที่ประชุม AFMM ได้พิจารณาสนับสนุนการเชื่อมโยงของระบบการโอนการชำระราคาและการรับฝากหลักทรัพย์ให้มีความสะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งได้มีความคืบหน้าในการจัดทำบันทึกความเข้าใจในการกำหนดแนวทางการยอมรับมาตรฐานหน่วยลงทุนซึ่งกันและกันระหว่างไทยมาเลเซียและสิงคโปร์เพื่อส่งเสริมการเสนอขายกองทุนรวมข้ามประเทศในอาเซียนซึ่งจะเปิดให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน(บลจ.) ในประเทศที่ร่วมมือกันสามารถนำหน่วยลงทุนของกองทุนรวมที่ได้รับการอนุญาตแล้วในประเทศของตนไปเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไปในประเทศภาคีได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น 3) ด้านการเคลื่อนย้ายเงินทุน มีความคืบหน้าในการจัดตั้งเวทีแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างธนาคารกลางอาเซียนในการดำเนินมาตรการและกลไกการปกป้องเพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงจากความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้ายที่มีแนวโน้มสูงขึ้นในอนาคต
ประเด็นที่ 3.ความร่วมมือด้านการเงินและรวมตัวทางเศรษฐกิจ มีความคืบหน้าหลักๆ ดังนี้ 1) ด้านการพัฒนาระบบระวังภัยและระบบติดตามความคืบหน้าการรวมตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ซึ่งสำนักงานติดตามการรวมตัวของอาเซียนได้พัฒนาเครื่องมือเพื่อใช้ติดตามและประเมินความคืบหน้าการรวมตัวทางเศรษฐกิจและการรวมกลุ่มในภาคการเงิน 2) ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน กองทุนเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Infrastructure Fund) ได้เริ่มปล่อยกู้โครงการแรกให้กับโครงสร้างพื้นฐานในประเทศอินโดนีเซียแล้ว และจะเร่งปล่อยกู้ในระยะถัดไปให้กับประเทศสมาชิกอื่นต่อไป ขณะเดียวกันกองทุนฯกำลังพิจารณาแนวทางลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืม การระดมทุนจากตลาดเงินและตลาดทุนรวมทั้งหาแนวทางร่วมมือกับภาคเอกชนหรือรัฐวิสาหกิจในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น 3) ความร่วมมือด้านศุลกากรได้เริ่มโครงการนำร่องการใช้ระบบพิธีการศุลกากรอาเซียน ณ จุดเดียว(ASEAN Single Window) ระหว่างสมาชิกอาเซียนที่มีความพร้อม 7 ประเทศระยะที่ 1 ซึ่งมีผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ และจะมีการดำเนินการระยะที่ 2 ที่เต็มรูปแบบในช่วงครึ่งแรกของปี 2014 4) ความร่วมมือด้านภาษีอากร มีการหารือแนวทางการประสานนโยบาย และความโปร่งใสในด้านภาษีอากรระหว่างประเทศสมาชิก โดยเน้นให้สมาชิกอาเซียนที่ยังไม่จัดทำความตกลงว่าด้วยการเว้นการเก็บภาษีซ้อนดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็วและให้หาแนวทางประสานกับกรอบความร่วมมืออื่นๆ เช่น OECD ในการพัฒนามาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลด้านภาษีอากรและการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ 5) ด้านการสนับสนุนการลงทุนในภูมิภาคที่ประชุมได้เห็นชอบให้ประเทศฟิลิปปินส์เป็นเจ้าภาพจัดงานสัมมนานักลงทุน รมว.คลังอาเซียน(ASEAN Finance Minister’s Investor Seminar:AFMIS) ในวันที่ 20 พ.ค.57 ที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เพื่อประชาสัมพันธ์ความคืบหน้าการรวมตัวของอาเซียน รวมทั้งนำเสนอจุดแข็งของอาเซียน เพื่อจูงใจให้นักลงทุนในภูมิภาคและทั่วโลกมองอาเซียนในรูปแบบภูมิภาคซึ่งจะเป็นโอกาสที่นักลงทุนในภูมิภาคและทั่วโลกจะได้พบปะและซักถามในประเด็นนโยบายโดยตรงกับ รมว.คลังอาเซียน 6) ด้านการเงินภาคประชาชน ในการประชุมครั้งนี้ได้เห็นชอบให้สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์จัดการสัมมนาระหว่างประเทศในปี 57 ในหัวข้อการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับประชาชนในอาเซียนที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนของภาคธนาคารได้ในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญเพื่อลดความเหลื่อมล้ำของประชาชนฐานราก
ประเด็นที่ 4.ประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจากการจัดประชุม AFMM ครั้งนี้ เมื่อมีการจัดทำระบบการเชื่อมโยงการดำเนินการหลังการซื้อขายหลักทรัพย์อาเซียนภายใต้ ASEAN Trading Link จะช่วยสร้างความเชื่อมโยงของระบบการโอนการชำระราคาและการรับฝากหลักทรัพย์เพื่ออำนวยความสะดวกและรองรับระบบการซื้อขายหลักทรัพย์ระหว่างตลาดหลักทรัพย์ในอาเซียนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งก็จะเป็นการสนับสนุนให้ตลาดหลักทรัพย์ไทยเติบโตขึ้นจากการลงทุนของนักลงทุนในอาเซียนที่จะมาลงทุนในหลักทรัพย์นอกจากนี้ การจัดทำบันทึกความเข้าใจในการกำหนดแนวทางการยอมรับมาตรฐานหน่วยลงทุนซึ่งกันและกันจะเปิดให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุนในประเทศที่ร่วมมือกันสามารถนำหน่วยลงทุนของกองทุนรวมที่ได้รับการอนุญาตแล้วในประเทศของตนไปเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไปในประเทศภาคีได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น ขณะที่กองทุนเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคอาเซียนก็จะเป็นส่วนช่วยส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศเพื่อนบ้านที่มีการเชื่อมต่อกับไทยทั้งทางด้านพลังงานและโทรคมนาคมเพื่อลดช่องว่างของระดับการพัฒนาเศรษฐกิจและเพื่อให้เกิดภาพที่สมบูรณ์ของการเชื่อมโยงระบบคมนาคมในภูมิภาค นอกจากนี้การที่ รมว.คลังอาเซียนได้ให้ความสำคัญกับการเข้าถึงบริการด้านการเงินและการให้การศึกษาทางการเงินแก่ประชาชนฐานรากโดยเฉพาะที่สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์จะจัดการสัมมนาในหัวข้อการเพิ่มการเข้าถึงบริการภาคการธนาคารสำหรับประชาชนที่ด้อยโอกาส จะเป็นเวทีที่เปิดให้ไทยซึ่งมีประสบการณ์ในเรื่องดังกล่าวมีบทบาทช่วยแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ให้กับประเทศอาเซียนอื่นๆในขณะเดียวกันจะเป็นการช่วยให้แรงงานเมียนมาร์ที่มาทำงานในประเทศไทยมีการโอนเงินข้ามประเทศอย่างถูกกฎหมายและอยู่ในระบบมากขึ้น
สำหรับการประชุม AFMM ครั้งต่อไปจะจัดขึ้นที่ประเทศมาเลเซียในช่วงต้นเดือน เม.ย.58