ทั้งนี้ศูนย์ดัชนีและพยากรณ์เศรษฐกิจการค้า สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้วิเคราะห์ถึงกรณีที่หน่วยงานต่างๆ รวมถึงสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.)วิเคราะห์ว่าเศรษฐกิจไทยปี 2557 มีแนวโน้มลดลงในครั้งนี้เป็นผลมาจากภาคเศรษฐกิจภายในประเทศ ที่ผู้บริโภค นักลงทุน และนักท่องเที่ยวต่างชาติ ยังขาดความเชื่อมั่นเนื่องมาจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังคงมีความไม่แน่นอน
อีกทั้งการที่ พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานฯ วงเงิน 2 ล้านล้านบาทถูกวินิจฉัยว่าขัดรัฐธรรมนูญ และโครงการลงทุนบริหารจัดการน้ำวงเงิน 3.5 แสนล้านบาทที่ยังคงทำประชาพิจารณ์อยู่ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการใช้จ่ายลงทุนของภาครัฐที่ สศค.เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้าว่าทั้งสองโครงการจะมีการเบิกจ่ายเงินประมาณ 4.86 หมื่นล้านบาท
โดยมองว่า ในภาวะเช่นนี้ภาคการส่งออกจะยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเจริญเติบโตต่อไป เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักของไทยที่ฟื้นตัว ทั้งสหรัฐอเมริกาที่ GDP ในไตรมาสที่ 4 ปี 2556 ขยายตัวถึงร้อยละ 2.6 ญี่ปุ่นที่ GDP ยังเติบโตเป็นบวกและอัตราการว่างงานที่ลดลงจากนโยบาย Abenomics สหภาพยุโรปที่ GDP ไตรมาส 4 ปี 2556 เติบโตเป็นบวกที่ร้อยละ 0.4 และประเทศจีนก็ยังคงมีเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างมีเสถียรภาพโดย GDP ไตรมาส 4 เติบโตที่ร้อยละ 1.8
นอกจากนี้ การส่งออกของไทยไปยังภูมิภาคอาเซียนโดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงเดือนม.ค.-ก.พ.57 ไทยมีมูลค่าการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศ CLMV เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.90 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่การอ่อนค่าของค่าเงินบาทยังเป็นปัจจัยสนับสนุนการส่งออกของไทยด้วย อัตราแลกเปลี่ยนช่วงเดือนม.ค.-ก.พ.57 เมื่อเทียบกับปี 56 ที่ผ่านมา อ่อนค่าลงถึงร้อยละ 6.72 และแม้ประเทศไทยจะยังคงประสบปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมือง แต่ก็มิได้มีการขัดขวางการส่งออกและการนำเข้า ในด้านการขนส่ง
"ดังนั้นศูนย์ดัชนีและพยากรณ์เศรษฐกิจการค้าฯ จึงมีความเชื่อมั่นว่า การส่งออกของไทยในปี 2557 จะยังขยายตัวในอัตราที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้าที่ร้อยละ 5 และคาดการณ์เงินเฟ้อปี 2557 ไว้ที่ร้อยละ 2.0-2.8 เช่นเดิม"นางอัมพวัน กล่าว