"ขณะนี้มีการตั้งโรงงานผลิตยางคอมพาวด์เพิ่มขึ้นทั้งในภาคใต้และ ภาคตะวันออก โดยส่วนมากเป็นการลงทุนจากต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น จีน และมาเลเซีย ซึ่งตั้งโรงงานผลิตยางคอมพาวด์เพื่อการส่งออก และเพื่อเป็นการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการไทยให้สามารถผลิตยางคอมพาวด์และแปรรูปยางพาราสำหรับใช้ในเชิงอุตสาหกรรมได้"นายสมชาย กล่าว
สศอ.ดำเนินโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมยางคอมพาวด์เพื่อยกระดับมูลค่าผลิตภัณฑ์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำนโยบาย และยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมยางคอมพาวด์ และยกระดับการผลิตในอุตสาหกรรมให้สามารถผลิตผลิตภัณฑ์ยางที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ปัจจุบันผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ยางทั่วโลกมีความต้องการยางคอมพาวด์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยประเทศไทยมีศักยภาพเป็นผู้ผลิตและส่งออกยางพาราเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ในปี 2556 มีผลผลิตยางพาราประมาณ 4.1 ล้านตัน ส่งออกในรูปยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง น้ำยางข้น ยางคอมพาวด์ และอื่นๆ รวมกันประมาณ 3.66 ล้านตัน หรือคิดเป็นมูลค่าการส่งออกประมาณ 2.49 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ ประเทศไทยมีการส่งออกเฉพาะยางคอมพาวด์เป็นจำนวน 809,776 ตัน คิดเป็นมูลค่า 65,863 ล้านบาท คาดว่าปริมาณและมูลค่าการส่งออกยางคอมพาวด์จะมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น ดังนั้น ประเทศไทยควรปรับเปลี่ยนโครงสร้างการส่งออกยางพาราจากในรูปวัตถุดิบยางธรรมชาติ เป็นผลิตภัณฑ์ยาง พร้อมเร่งวิจัยพัฒนาและสนับสนุนการแปรรูปยางภายในประเทศให้เป็นผลิตภัณฑ์ยางที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้หลากหลาย ซึ่งจะต้องดำเนินการควบคู่ไปพร้อมกับการปรับเปลี่ยนการผลิตยางพาราของเกษตรกรสู่อุตสาหกรรม ในรูปแบบการพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางโดยใช้องค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีการทำยางคอมพาวด์เป็นพื้นฐานที่สำคัญ หลายหน่วยงานมีบทบาทในการยกระดับเทคโนโลยีการผลิต และสนับสนุนให้เกิดการลงทุนภายในประเทศ
รวมถึงการจ้างแรงงาน และการสร้างห่วงโซ่อุปทานให้เกิดขึ้นภายในประเทศ ซึ่งยางคอมพาวด์ เกิดจากการนำยางพารามาผสมกับสารเคมีต่างๆ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติที่ดีขึ้น เป็นนวัตกรรมที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการผลิตและการแปรรูปยางเพื่อการส่งออก ในรูปผลิตภัณฑ์ยางชนิดต่างๆ ตัวอย่างเช่น ยางล้อ ชิ้นส่วนยานยนต์ พื้นรองเท้า สายพาน เครื่องมือทางการแพทย์ ยางรองคอสะพาน เป็นต้น