ส่วนเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1/57 มองว่ามีโอกาสไม่ขยายตัว หรือติดลบเล็กน้อย เนื่องจากเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยหลายตัวมีการชะลอตัวลง
ดังนั้นจึงถือว่าขณะนี้เศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว และจะเริ่มฟื้นตัวในไตรมาส 2/57 จากสัญญาณด้านการท่องเที่ยวที่เริ่มกลับมาดีขึ้นในเดือนเม.ย. หลังจากที่หลายประเทศเริ่มลดระดับคำเตือนในการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ภายหลังจากที่รัฐบาลยกเลิก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และกลับมาใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
โดยคาดว่าในปีนี้ การท่องเที่ยวจะเติบโตได้ 5-5.5% คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวราว 28 ล้านคน ซึ่งหายไปราว 3 ล้านคน หรือประมาณ 20% ในช่วงไตรมาส 1/57 จากปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองภายในประเทศ แต่เชื่อว่าตั้งแต่เดือนเม.ย.เป็นต้นไปสถานการณ์ด้านการท่องเที่ยวจะกลับมาดีขึ้น
จากนั้นคาดว่าในช่วงไตรมาส 3 และ 4/57 เศรษฐกิจไทยจะกลับมาขยายตัวดีขึ้นเป็นลำดับ โดยจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวที่ดีมากในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งเป็นผลมาจากความความเชื่อมั่นของภาคเอกชนที่เริ่มกลับมา หากสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ในช่วงไตรมาส 3 ซึ่งการเติบโตของเศรษฐกิจในไตรมาส 4 นี้มาจากแรงขับเคลื่อนของภาคเอกชนเป็นหลักมากกว่าแรงกระตุ้นจากนโยบายของภาครัฐ ดังนั้นเมื่อการเมืองเริ่มนิ่งแล้วภาวการณ์ผลิตและการใช้จ่าย ตลอดจนกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ ก็จะเริ่มกลับมา
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังยังคงคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(GDP)ของไทยในปีนี้ไว้ที่ 2.6% จากสมมติฐานเดิมที่ว่าสถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลายและจะสามารถมีรัฐบาลใหม่ได้ในไตรมาส 3 แต่ทั้งนี้หากยังไม่สามารถมีรัฐบาลใหม่ภายในไตรมาส 3 ได้จริง ก็ยังเชื่อว่า GDP จะยังอยู่ในระดับเดิม เพราะการประเมิน GDP ไว้ที่ระดับดังกล่าวขึ้นอยู่กับปัจจัยของเม็ดเงินจากงบประมาณรายจ่ายเป็นสำคัญ ซึ่งแม้สุดท้ายจะยังไม่สามารถมีรัฐบาลใหม่ได้ในไตรมาส 3 แต่ก็ยังมีเงินงบประมาณที่มาจากงบกลางสามารถนำออกมาใช้ได้ไปพลางก่อนที่จะมีการจัดทำงบประมาณรายจ่ายปี 58
“เรามองว่าไตรมาสแรก GDP จะติดลบเล็กน้อย ซึ่งถือว่าเป็นจุดต่ำสุดในปีนี้แล้ว แต่เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย เพราะจะฟื้นตัวได้ไตรมาส 2 และความเชื่อมั่นของประชาชนและภาคธุรกิจจะเริ่มกลับมาโตเต็มที่ในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งทั้งปีนี้เรายังคาดการณ์ GDP ไว้ที่ 2.6%" น.ส.กุลยา กล่าว
พร้อมระบุว่า สำหรับแนวทางที่จะช่วยเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในช่วงต่อจากนี้ อาจจะทำได้จากการดูแลให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐปล่อยสินเชื่อให้เป็นไปตามเป้าหมาย เนื่องจากมาตรการหรือนโยบายใหม่ๆ ของรัฐบาลไม่สามารถจะขับเคลื่อนได้ อันเนื่องจากยังเป็นรัฐบาลรักษาการ และบางนโยบายจำเป็นต้องให้รัฐบาลใหม่เข้ามาตัดสินใจ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้กลไกที่พอจะมีอยู่เดิมเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปก่อน
รายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง ระบุว่า จากการประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตได้ 2.6% มาจากการเติบโตของ GDP ไตรมาสแรกที่ -0.2% ไตรมาสสอง 0.4% ไตรมาสสาม 2.8% และไตรมาสสี่ 7.3%