ทั้งนี้ ผู้ประกอบการยังแสดงความต้องการทุนโดยรวมที่ยังสามารถรักษามูลค่าในระดับ 1.3-1.5 ล้านลบ.จากปี 56 มาถึงปีนี้ได้ โดยปีนี้สัดส่วนมูลค่าโครงการที่อยู่ในขั้นตอนศึกษาความเป็นไปได้ และรอการตัดสินใจเพิ่มขึ้นเป็น 59% ของมูลค่าความต้องการทุนโดยรวม ซึ่งสะท้อนว่าผู้ประกอบการยังคงมองเห็นโอกาสในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้เพียงแค่รอจังหวะในการเดินหน้าโครงการจริงต่อไป
ในส่วนของความสนใจของผู้ประกอบการ พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่มองตลาดในประเทศเป็นหลัก เปลี่ยนเป็นมองตลาดต่างประเทศในสัดส่วนที่มากขึ้น คิดเป็นประมาณ 60% ของความต้องการทุนโดยรวม โดยที่กว่า 90% ของการลงทุนในต่างประเทศยังคงเป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีขนาดมูลค่าโครงการโดยเฉลี่ยต่อโครงการประมาณ 50,000 ล้านบาทขึ้นไป โดยมีความสนใจในประเทศพม่ามากขึ้น ซึ่งมีจำนวนโครงการลงทุนไปพม่าเพิ่มขึ้นกว่า 5 เท่า ทั้งนี้ อุตสาหกรรมหลักของการลงทุนในต่างประเทศเป็นไปเพื่อการพัฒนาโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานและการส่งเสริมสินค้าและบริการเพื่อการอุปโภคพื้นฐานในตลาดอาเซียน
ขณะที่แนวโน้มความต้องการทุนเพื่อการดำเนินธุรกิจตลาดต่างประเทศมีมากขึ้น สอดร้บกับแนวโน้มการพื้นตัวของตลาดโลก โดยพบว่าการฟื้นต้วของเศรษฐกิจ เช่น สหรัฐฯ ที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ตัดสินใจลด QE ลงเหลือ 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์ จากดัชนีทางเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น และเศรษฐกิจยุโรปมีแนวโน้มการเติบโตเป็น 1.5% ในปี 57 จาก 1.2% ในปี 56 รวมถึงเศรษฐกิจจีนที่คาดว่าจะฟื้นตัวได้ในไตรมาส 2 ของปีนี้เป็นต้นไป จากการออกมาตรการทางเศรษฐกิจและกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐ
นายวศิน กล่าวว่า การที่ธนาคารผลักดันกลยุทธ์ Transaction Banking ทำให้ธนาคารสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น เห็นได้จากสัดส่วนทางการตลาดของปริมาณธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศที่เติบโตเป็น 17% ในไตรมาสแรกของปี และมั่นใจว่าจะสามารถเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียมได้ตามเป้าหมายในสิ้นปี โดยตั้งเป้าสัดส่วนค่าธรรมเนียมต่อรายได้รวมเพิ่มขึ้นจาก 44.9% ในปี 56 เป็น 47 ในปีนี้ คาดว่าอัตราการเติบโตของยอดสินเชื่อคงค้างจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 5-7%