เศรษฐกิจไทยปีนี้คงจะต้องขับเคลื่อนจากการส่งออกเป็นหลัก โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกจะเติบโตราว 3-3.5% ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เศรษฐกิจโลก ซึ่งคาดว่าแนวโน้มเศรษฐกิจโลกปีนี้จะขยายตัวราว 3.4% โดยเศรษฐกิจประเทศหลักๆที่จะมีการฟื้นตัวคือ สหรัฐและยุโรป แต่อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามเศรษฐกิจจีน ที่อาจจะมีการชะลอตัว เนื่องจากสถาบันทางการเงินของจีนที่มีความอ่อนแอ อาจจะส่งผลให้การบริโภคในประเทศจีนชะลอตัวลง อาจจะส่งผลต่อราคายางพาราที่เป็นสินค้าส่งออกสำคัญของไทยมีราคาต่ำลงด้วย
ด้านการบริโภคในประเทศเอง ปัจจุบันสถานการณ์การเมืองที่ยังไม่มีความแน่นอน ส่งผลให้ความเชื่อมั่นลดน้อยลง ประกอบกับ หนี้ครัวเรือนเองยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง ซึ่งสูงถึง 80% ของผลผลิตมวลรวมในประเทศ(GDP)จึงมองว่าการบริโภคในประเทศจะมีการชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง
นายศุภวุฒิ กล่าวว่า การที่ยังไม่มีรัฐบาลเข้ามาทำหน้าที่ภายในปีนี้ ทำให้เกิดความกังวลว่าภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีมูลค่าเพิ่ม(VAT)จะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น หลังจากสิ้นสุดระยะเวลามาตรการผ่อนผันในช่วงก่อนหน้านี้ที่ได้มีการออกพระราชกฤษฎีกาลดภาษีมูลค่าเพิ่มมาที่ 7% จากเดิม 10% และภาษีนิติบุคคลอยู่ที่ 20% จาก 30% เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งหากไม่มีรัฐบาลที่จะตัดสินใจในเรื่องดังกล่าวอาจจะส่งผลให้อัตราภาษีที่สูงขึ้นซ้ำเติมสถานการณ์ทางเศรษฐกิจให้ย่ำแย่ลง "การที่ไม่มีรัฐบาลมาตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ก็จะส่งผลให้งบประมาณปี 58 ออกมาไม่ได้ และอาจจะส่งผลให้ภาษีมูลค่าเพิ่ม และ ภาษีนิติบุคคลสูงขึ้นด้วย ซึ่งหลังจากนี้ทุกอย่างก็จะต้องขึ้นอยู่กับคณะกรรมการการเลือกตั้งทั้งหมด การกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯก็คงจะไม่มี แต่สิ่งที่จะช่วยให้ปีนี้เศรษฐกิจเติบโตได้จะมาจากการส่งออก แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจโลกด้วยเช่นกัน"นายศุภวุฒิ กล่าว
ในขณะเดียวกันปัญหาทางการเมืองมีความเสี่ยงที่จะทำให้ประเทศถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือได้
นายศุภวุฒิ กล่าวอีกว่า ส่วนภาวะตลาดหุ้นหลังจากนี้คาดว่าจะยังมีความผันผวนค่อนข้างสูง โดยเฉพาะจากการ Sell on Fact แต่ก็ยังมีแรงซื้อจากฝั่งของนักลงทุนที่เก็งกำไรอยู่ โดยมองดัชนีที่มีความเหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานและปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้นปีนี้อยู่ที่ 1,320 จุด