"ตอนนี้ถือว่าถึงจุดวิกฤติ SMEs ทั่วประเทศ 2.7 ล้านราย ทยอยล้มไปราวแสนรายแล้ว ถ้าอีก 1-2 เดือนยังไม่ได้ข้อยุติจะยิ่งเสียหายหนัก" นายเกรียงไกร กล่าว
พร้อมระบุว่า ขณะนี้กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจทุกตัวติดลบหมด ทั้งการลงทุน การบริโภคภายในประเทศ และการส่งออก ซึ่งเคยหวังว่าช่วง Q1/57 จะขยายตัว 4-5% แต่ถ้าหักการนำเข้าและส่งออกทองคำออกจะติดลบ
สำหรับสิ่งที่ ส.อ.ท.ได้เสนอต่อที่ประชุมร่วมระหว่างวุฒิสภากับองค์กรตามรัฐธรรมนูญและองค์กรภาคเอกชนในวันนี้ คือ การเร่งคลายวิกฤติโดยเร็ว โดยต้องมีรัฐบาลใหม่ตามครรลองของกฎหมายเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นกลับมา โดย 1.ลดความขัดแย้งและความหวาดระแวงที่มีต่อกัน 2.ลดอุณหภูมิทางการเมืองไม่ให้ไปถึงจุดแตกหัก และ 3.หาข้อสรุปเรื่องการเลือกตั้งและการปฏิรูปให้ตรงกัน
"ตราบใดที่ยังมีความหวาดระแวงกัน ข้อเสนอจะดีแค่ไหนก็คุยกันไม่ได้ มันเป็น deadlock" รองประธาน ส.อ.ท.ระบุ
ด้านนายพงษ์เดช วานิชกิตติกุล เลขานุการประธานศาลฎีกา ได้แจ้งถึงความห่วงใยของประธานศาลฎีกาต่อสถานการณ์ของบ้านเมืองในขณะนี้ให้แก่ที่ประชุมทรา โดยย้ำว่าศาลฎีกาจะยึดถือการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายภายใต้รัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด และมีหน้าที่หลักในเรื่องการพิจารณาอรรถคดีเพียงอย่างเดียว โดยยึดหลักความเป็นกลาง
อย่างไรก็ดี นายพงษ์เดช ปฏิเสธจะให้ความเห็นเรื่องการมีนายกรัฐมนตรี มาตรา 7 ตามการเสนอแนวทางของกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.)