"นักลงทุนทั้งในและต่างชาติส่วนใหญ่ได้ปรับตัวเพื่อตอบรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศช่วงก่อนหน้านี้ไปบ้างแล้ว" นายสมบัติ กล่าว
นอกจากนี้ ยังต้องติดตามสถานการณ์ในประเทศว่าจะเป็นไปด้วยความเรียบร้อยหรือไม่ รวมทั้งปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองจะจบลงทันทีหรือไม่เช่นกัน เพราะเชื่อว่าประเด็นดังกล่าวจะมีผลต่อการประเมินอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศด้วย
นายสมบัติ กล่าวว่า ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้(ม.ค.-เม.ย.) กบข.สามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนให้กับสมาชิกกองทุนฯ ได้ในระดับที่น่าพอใจ จึงทำให้มั่นใจว่าทั้งปีนี้จะสามารถสร้างผลตอบแทนให้กับสมาชิกได้ราว 5-6% ซึ่งสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อในปีนี้ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 2%
ทั้งนี้ กบข.ได้ปรับพอร์ตการลงทุนในตลาดหุ้นไทยลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงกลางปี 56 ที่ผ่านมา มาอยู่ที่ 11% หรือคิดเป็น 5 หมื่นล้านบาท จากพอร์ตการลงทุนทั้งหมด 4.7 แสนล้านบาท เพราะมีการประเมินในเบื้องต้นแล้วว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยและต่างชาติยังอยู่ในช่วงชะลอตัว โดย กบข.ได้กระจายการลงทุนไปในหลายรูปแบบเพื่อช่วยกระจายความเสี่ยง ได้แก่ การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย 62% พันธบัตรต่างชาติ 4-5% หุ้นต่างชาติ 14% อสังหาริมทรัพย์ ประเภทอาคารสำนักงาน 5-6% ส่วนที่เหลือเป็นการลงทุนในบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์