"ภาพรวมช่วง 3-4 เดือนแรกตลาดที่อยู่อาศัยมีการหดตัวลงมาก ซึ่งในภาพทั้งปีแม้จะมองว่าช่วงครึ่งหลังจะปรับตัวดีขึ้น แต่เมื่อรวมกันทั้งปีก็น่าจะลดลงกว่าปี 56 แต่ไม่ถึงกับแย่มาก โดยตลาดควรจะเข้าสู่การปรับฐานในปีนี้ เพื่อกลับเข้าสู่ความเป็นจริง เพื่อการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต ขณะที่ภาวะการแข่งขันมองว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังจะยังมีความรุนแรงอยู่ ซึ่งก็จะมีการขยายไปแข่งขันในตลาดรองในภูมิภาคมากขึ้น" นายสัมมา กล่าว
ทั้งนี้หลังเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองทำให้ผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นและมั่นใจมากขึ้น จึงคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังนี้ตลาดที่อยู่อาศัยน่าจะมีโอกาสฟื้นตัวดีขึ้น ทั้งในแง่ของผู้ซื้อและผู้ขาย และมองว่าตลาดที่อยู่อาศัยควรจะต้องกลับเข้าสู่ในช่วงของการปรับฐานเพื่อกลับเข้าสู่ภาวะปกติ เนื่องจากปี 55-56 มีการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวนมาก โดยเฉพาะโครงการแนวสูง ขณะที่ตลาดหลักในภูมิภาคก็เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นจังหวัดเชียงใหม่ ภูเก็ต ชลบุรี ระยอง นครราชสีมา และขอนแก่น
นอกจากนี้ ช่วงปี 57-60 จะมีการขยายตลาดที่อยู่อาศัยไปยังตลาดรองในภูมิภาคมากขึ้น ซึ่งเป็นช่วงที่ได้รับอานิสงส์จากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) โดยจังหวัดที่ได้รับความน่าสนใจ ได้แก่ จังหวัดนครศรีธรรมราช สุราษฎ์ธานี เชียงราย พิษณุโลก และอุบลราชธานี ซึ่งยังมีโครงการใหม่น้อยอยู่ ขณะที่ในกรุงเทพ-ปริมณฑลส่วนใหญ่จะเป็นการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมโดยเฉพาะตามแนวรถไฟฟ้า(BTS) ส่วนบ้านจัดสรรจะมีการปรับราคาขายที่สูงขึ้นมาก ส่งผลให้ตลาดทาวเฮ้าส์จะปรับตัวสูงกว่าตลาดบ้านจัดสรร โดยมองว่าสิ่งที่จะช่วยส่งผลบ้านจัดสรรและทาวเฮ้าส์เติบโตไปได้ในอนาคตนั้นมาจากสถานการณ์ปรับเข้าสู่ภาวะปกติและปัจจัยทางเศรษฐกิจมีความแข็งแรงได้ในอนาคต รวมถึงมีการใช้จ่ายภาครัฐมีการกระตุ้นการใช้จ่ายงบประมาณในช่วงที่เหลือของปี 57 และมีการกระตุ้นการลงทุนของภาคเอกชน น่าจะส่งผลให้ GDP ปรับตัวดีขึ้นได้ ซึ่งตลาดที่อยู่อาศัยก็น่าจะปรับตัวดีขึ้นตาม
อย่างไรก็ตาม แม้มองว่าช่วงครึ่งปีหลังตลาดที่อยู่อาศัยจะปรับตัวดีขึ้นแต่เมื่อประเมินภาพรวมทั้งปีแล้วยังคงลดลงกว่าปี 56 โดยคาดว่าปี 57 จะมีการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ราว 65,000 โครงการ และบ้านจัดสรรจะอยู่ในระดับเดียวกับกับปีก่อน ซึ่งปี 56 มีการเปิดการคอนโดอยู่ที่ 85,000 โครงการ และบ้านจัดสรรอยู่ที่ 40,000 โครงการ