ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ทำการสำรวจพฤติกรรมของกลุ่มผู้ใช้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีระดับรายได้ต่อเดือนตั้งแต่ 8,000 บาทขึ้นไป ในกรุงเทพฯ จำนวน 500 คน ซึ่งใช้บริการเฉพาะกับธนาคารพาณิชย์และนอนแบงก์ที่ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ให้บริการภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่า แนวโน้มการใช้จ่ายผ่านสินเชื่อส่วนบุคคลในปี 2557 ปรากฎว่า 46.1% ของผู้ตอบทั้งหมด ยังเลือกที่จะใช้วงเงินสินเชื่อส่วนบุคคลในวงเงินที่คงที่เมื่อเทียบกับปีก่อน ตามมาด้วยกลุ่มที่เลือกใช้วงเงินเพิ่มขึ้น 36.6% เพื่อตอบสนองความต้องการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นและค่าใช้จ่ายประจำวันที่สูงขึ้นเป็นหลัก ขณะที่ อีก 17.4% ที่เหลือ เลือกลดการใช้วงเงิน ด้วยเหตุผลที่ยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินก้อนเป็นสำคัญ
ทั้งนี้ จากกลุ่มผู้บริโภคที่เลือกจะยังใช้วงเงินสินเชื่อคงที่และเพิ่มขึ้น ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันกว่า 80% ดังกล่าว สะท้อนว่าตลาดยังมีความต้องการใช้สินเชื่อส่วนบุคคลอย่างต่อเนื่อง อันน่าจะช่วยประคับประคองอัตราการเติบโตของธุรกิจนี้ไว้ได้ในอนาคต
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสินเชื่อส่วนบุคคลมีส่วนช่วยเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ใช้บริการในการดำเนินชีวิตประจำวันในมิติต่าง ๆ แต่ที่ผ่านมา มีความกังวลว่า เงื่อนไขการใช้งานของสินเชื่อประเภทนี้ที่ค่อนข้างยืดหยุ่นและปลอดหลักประกัน จะทำให้ผู้บริโภคบางกลุ่มเลือกใช้สินเชื่อดังกล่าวเป็นทางออกเฉพาะหน้าในการชำระคืนหนี้สินประเภทอื่น ๆ ในยามที่ภาวะการเงินส่วนบุคคลฝืดเคือง ซึ่งเมื่อผนวกกับข้อเท็จจริงที่เพดานอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อส่วนบุคคล (28%) มีระดับสูงกว่าสินเชื่อรายย่อยของสถาบันการเงินประเภทอื่น ๆ ค่อนข้างมาก จึงอาจกดดันให้เกิดปัญหาการชำระคืนหนี้สินในลักษณะลูกโซ่ตามมาท้ายที่สุด
ผลสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบสัญญาณที่ผู้ใช้บริการสินเชื่อส่วนบุคคล พยายามสร้างสมดุลระหว่างรายรับและรายจ่าย รวมถึงวินัยการชำระคืนหนี้ที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี นั่นคือ การมุ่งใช้สินเชื่อเพื่อการบริโภค มากกว่าชำระคืนสินเชื่อประเภทอื่นๆ โดยมีสัดส่วนของผู้ตอบแบบสอบถามที่ใช้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลเพื่อการบริโภค มากกว่าครึ่งหนึ่ง หรือ 56.8% ทำให้เหลืออีก 43.2% ของผู้ตอบที่เคยใช้/ใช้สินเชื่อส่วนบุคคลสำหรับหมุนเวียนเงินเพื่อจ่ายชำระคืนหนี้สินอื่น ๆ โดย 3 อันดับแรก คือ รถ (28.9%) บัตรเครดิต (27.5%) และบ้าน (26.6%) ขณะที่ อีก 4.1% ใช้เพื่อชำระคืนหนี้นอกระบบ ซึ่งในส่วนหลังนี้ น่าจะช่วยให้ผู้บริโภคมีสถานการณ์หนี้และคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเดิม
นอกจากนี้ เกือบ 2 ใน 3 ของผู้ใช้บริการ มีระดับหนี้ที่ยังสามารถบริหารจัดการได้ ขณะที่ ผู้ใช้บริการยังมีวินัยการชำระคืนที่ดี โดยเมื่อประเมินศักยภาพของลูกหนี้จากการสัดส่วนภาระหนี้ที่ต้องผ่อนต่อเดือนเทียบกับรายได้ต่อเดือน (Debts to Income) พบว่า 64.0% ของกลุ่มตัวอย่างมีสัดส่วนดังกล่าวต่ำกว่า 50% (ซึ่งเป็นเกณฑ์การพิจารณาอนุมัติสินเชื่อเบื้องต้นของผู้ให้บริการ) ซึ่งในจำนวนนี้ 78.9% เป็นผู้ใช้บริการที่มีรายได้ระดับปานกลางอยู่ในช่วง 15,0001-50,000 บาทต่อเดือน นั่นหมายความว่า แม้ผู้บริโภคส่วนหนึ่งจะเป็นหนี้หลายทาง แต่ก็ยังสามารถบริหารภาระหนี้ของตนในภาพรวมให้อยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ โดยที่ไม่กระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้
สำหรับอีก 36.0% ที่เหลือ ซึ่งมีสัดส่วนหนี้ต่อรายได้สูงกว่าเกณฑ์ 50% (โดยน่าจะเป็นลูกค้าที่ใช้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลก่อน และมีการก่อหนี้ประเภทอื่น ๆ เพิ่มระหว่างทาง จนทำให้ภาระหนี้ต่อรายได้ปัจจุบัน อยู่ในระดับสูงกว่าเกณฑ์ดังกล่าว) นั้น ก็พบว่ามีวินัยการชำระคืนหนี้ที่ดี โดยลูกหนี้จำนวนไม่น้อย หรือ 45.6% เลือกชำระคืนเต็มจำนวน ซึ่งช่วยให้คลายความกังวลต่อสถานการณ์คุณภาพหนี้ของสินเชื่อส่วนบุคคลลงได้ในระดับหนึ่ง