โดยเฉพาะเมื่อมาวิเคราะห์ภาพรวมของเศรษฐกิจภาคสหกรณ์ไทย ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ทั่วประเทศประมาณ 10,834 แห่ง มีจำนวนสมาชิกรวมทั้งสิ้น 12 ล้านคนเศษ คิดเป็นร้อยละ 18.57 ของประชากรทั้งประเทศ มีทุนดำเนินงานรวมเท่ากับ 2.06 ล้านล้านบาท สร้างมูลค่าเพิ่มธุรกิจรวม 1.98 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 16.64 ของ GDP ประเทศ จากข้อมูลดังกล่าวชี้ให้เห็นว่ากลไกของขบวนการสหกรณ์มีส่วนสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งในชุมชน เศรษฐกิจฐานรากและเศรษฐกิจของประเทศ
ด้านนายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข อธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมฯได้มอบหมายให้สำนักงานตรวจบัญชีสหกรณ์ ร่วมกับครูบัญชีอาสาที่เรามีอยู่กว่า 10,000 คนทั่วประเทศ เร่งเข้าไปถ่ายทอดให้ความรู้ด้านบัญชีแก่เกษตรกร กลุ่มเกษตรกร กลุ่มวิสาหกิจชุมชนและสหกรณ์รวมไปถึงคนในชุมชน เพื่อให้คนเหล่านั้นสามาราถนำข้อมูลทางบัญชีไปใช้ในการวางแผนการประกอบอาชีพ มีความเข้มแข็ง มีภูมิคุ้มกัน พึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน รวมทั้งมีนโยบายส่งเสริม สนับสนุนและพัฒนาให้ครูบัญชีอาสาเป็นเกษตรกรปราดเปรื่อง(Smart Farmer) เพื่อรองรับการขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงเกษตรฯได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนควบคู่กันอีกด้วย เพราะการรู้บัญชี ทำให้รู้ต้นทุน รู้อนาคต
ทั้งนี้ กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ มั่นใจว่าหากทุกคนหันมาทำบัญชีในครัวเรือนจะทำให้ชุมชนนั้นเข้มแข็ง เพราะบัญชีจะเป็นกระจกสำคัญในการชี้ให้เห็นต้นทุนการผลิตที่แท้จริง และสามารถนำไปเป็นข้อมูลในการประเมินและวางแผนการใช้จ่ายในครัวเรือนได้ นอกจากนี้บัญชียังช่วยลดหนี้ในครัวเรือน ทำให้การบริหารจัดการในสหกรณ์โปร่งใส่ขึ้น และเมื่อคนในชุมชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ครอบครัวก็จะร่มเย็นเป็นสุข อยู่กันอย่างอบอุ่น ชุมชนก็เข้มแข็ง มีความรักสามัคคีปรองดอง เกิดภูมิคุ้มกันที่ดีให้กับชุมชนในที่สุด