ทั้งนี้ ยังมีประเด็นที่อาจกระทบการส่งออกสินค้าของไทยในระยะต่อไป เช่น การระงับความร่วมมือระหว่างไทยและสหภาพยุโรป และการถูกปรับลดระดับของไทยในรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ให้มาอยู่ในระดับ Tier 3 โดยสหรัฐฯ
วานนี้ กระทรวงพาณิชย์รายงานมูลค่าการส่งออกของไทยเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 19.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หดตัว 2.1%YOY (เทียบกับเดือนเดียวกันในปีก่อนหน้า) ขณะที่การนำเข้าอยู่ที่ 20.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลง 9.3% ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้า 808 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
การส่งออกไปจีนและญี่ปุ่นยังคงหดตัวต่อเนื่อง การส่งออกไปจีนยังคงหดตัวต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปี 2014 โดยลดลง 5.7%YOY ในเดือนพฤษภาคม ทำให้การส่งออกไปจีนในช่วง 5 เดือนแรกของปีลดลง 5.6% ขณะที่การส่งออกไปญี่ปุ่นหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่สอง โดยลดลงถึง 9.9% ในเดือนพฤษภาคมและเป็นการหดตัวในอัตราที่สูงกว่าเดือนเมษายน (ติดลบ 4.5%) จากความต้องการนำเข้าสินค้าที่ชะลอลงภายหลังการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มของญี่ปุ่นตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา ทางด้านการส่งออกไปอาเซียนเดือนพฤษภาคมขยายตัวเพียง 0.1% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ส่วนตลาดหลักอย่างสหภาพยุโรปและสหรัฐฯยังคงขยายตัวได้ดี โดยในช่วง 5 เดือนแรกของปีการส่งออกไปยุโรปและสหรัฐฯเพิ่มขึ้น 6.3% และ 1.1% ตามลำดับ
สำหรับการส่งออกรถยนต์ช่วง 5 เดือนแรกกลับมาติดลบ เช่นเดียวกับการส่งออกยางที่ยังไม่ฟื้นตัวจากปัจจัยด้านราคา มูลค่าการส่งออกรถยนต์ใน 5 เดือนแรกกลับมาติดลบ 0.1%YOY โดยสาเหตุหลักมาจากการส่งออกไปยังออสเตรเลียและอินโดนีเซียที่ยังไม่ฟื้นตัว โดยในช่วง 5 เดือนแรกส่งออกรถยนต์ไปออสเตรเลียและอินโดนีเซีย ลดลงราว 23% ขณะที่การส่งออกยางลดลง 27.4% ทำให้การส่งออกยางตลอดช่วง 5 เดือนแรกของปีลดลงถึง 18% ด้านการส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าในเดือนนี้ปรับลดลงเป็นครั้งแรกของปีโดยหดตัว 3.6% โดยเป็นผลจากการส่งออกไปอินโดนีเซียและญี่ปุ่นที่หดตัว 30.1% และ 5.1% ตามลำดับ
การนำเข้าสินค้าทุนและวัตถุดิบยังคงหดตัวในระดับสูง โดยในเดือนพฤษภาคมลดลง 14.8% และ 11.3% ตามลำดับ ขณะที่การนำเข้าน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.33% ด้านดุลการค้าขาดดุล 808 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มูลค่าการส่งออกที่อยู่ในระดับต่ำทำให้ดุลการค้าขาดดุลต่อเนื่องจากเดือนที่แล้ว