ทั้งนี้ มองว่าดัชนีตลาดหุ้นไทย(SET Index)ในปีนี้จะอยู่ที่ราว 1,500-1,550 จุด ก่อนจะปรับขึ้นไปที่ 1,600-1,650 จุดในปี 58 เป็นผลจากความเชื่อมั่นในแนวทางการปฏิรูปของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่จะช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง และจะทำให้นักลงทุนต่างชาติมีความเข้าใจภาพรวมของเศรษฐกิจไทยมากขึ้น ซึ่งหากต่างชาติมีความมั่นใจก็มีโอกาสที่ Fund flow จะไหลกลับเข้ามายังตลาดหุ้นไทยมากอีกครั้ง
การลงทุนในตลาดหุ้นไทยของนักลงทุนประเภทสถาบันทั้งปี 57 เชื่อว่าจะมีมูลค่าเกือบ 1 แสนล้านบาท แม้ในช่วงที่ผ่านมาประชาชนลงทุนในกองทุนรวมเพียง 1 หมื่นล้านบาท แต่นักลงทุนสถาบันก็มีการลงทุนในตลาดหุ้นไทยสูงถึง 4 หมื่นล้านบาท เนื่องจากในปีที่ผ่านมานักลงทุนไทยถือเงินสดไว้ค่อนข้างมาก เนื่องจากไม่มีความมั่นใจในสถานการณ์การเมืองที่เกิดขึ้น แต่ปัจจุบันเริ่มปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนสถาบันนำเงินสดมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น โดยช่วงที่เหลือของปีนี้คาดว่าจะมีเม็ดเงินจากนักลงทุนสถาบันมาลงทุนในตลาดหุ้นอีกราว 5 หมื่นล้านบาท
"ปีก่อนสถานการณ์การเมืองไม่มีความแน่นอน แต่ในช่วงที่ผ่านมาสถานการณ์การเมืองเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น ทำให้นักลงทุนสถาบันเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น เราจึงมองว่า ณ สิ้นปีนักลงทุนสถาบันจะมียอดซื้อสุทธิเข้ามาถึง 1 แสนล้านบาทได้"นายประภาส กล่าว
นายประภาส กล่าวอีกว่า สิทธิประโยชน์การลดหย่อนภาษีของกองทุน LTF และ RMF จะหมดอายุในปี 59 นั้น ขณะนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าทางภาครัฐฯจะมีการต่ออายุหรือไม่อย่างไร ซึ่งทางบริษัทมองว่าหากไม่มีการต่ออายุอาจจะส่งผลให้กองทุน RTF และ LMF ที่ครบกำหนดทยอยขายหุ้นออกไป ดังนั้น ก็จะส่งผลให้เงินไหลออกจากตลาดหุ้นอย่างต่อเนื่อง และจะส่งผลต่อ Sentiment การลงทุนในด้านลบ จากช่วงที่ผ่านมามีเงินลงทุนที่เข้ามาในกองทุน LTF สูงถึง กว่า 3 หมื่นล้านบาท/ปี หากยกเลิกสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีจริง ภาครัฐฯควรมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้สิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีเป็นด้านอื่นแทน อาธิเช่น ด้านการศึกษา
ด้านนายรุ่งศักดิ์ สาธุธรรม ผู้จัดการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา คาดว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ปีนี้คาดว่าจะยังคงทรงตัวอยู่ในระดับ 2.0% เนื่องจากปัจจุบันหนี้ภาคครัวเรือนยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง นอกจากนี้ ยังคงต้องติดตามความเสี่ยงทางด้านการเมืองอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงเปลี่ยนถ่ายอำนาจจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มาเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งว่าเมื่อเข้ามาจะได้รับการยอมรับและสามารถดำเนินนโยบายเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่องหรือไม่
ด้านนายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.กรุงศรี จำกัด ปีนี้บริษัทฯตั้งเป้าที่จะมีสินทรัพย์รวม (AUM) เพิ่มขึ้นเป็น 2.5 แสนล้านบาท จาก ณ สิ้นปี 56 อยู่ที่ราว 2 แสนล้านบาท โดยในช่วงต้นปีที่ผ่านมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะมีการเติบโตได้ค่อนข้างมาก ทั้งกองทุน LTF และ RMF ที่โดยส่วนใหญ่จะมีแรงซื้อเข้ามาในช่วงครึ่งปีหลังหลังทางบริษัทฯออกกองทุนใหม่อีก 1 กอง โดยจะเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในกลุ่มสุขภาพ อาทิ กลุ่มโรงพยาบาล ที่ปัจจุบันแนวโน้มมีกานเติบโตได้ดี เนื่องจากทั่วโลกมีคนชรามากขึ้น และเชื่อว่าจะเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต จะส่งผลให้มีความต้องการที่จะเข้าใช้บริการโรงพยาบาลมากขึ้น