โดยแนวทางการทำงานจะดำเนินการเรื่องเร่งด่วนตามนโยบาย คสช.ประกอบด้วย การเร่งแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน, การกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ, การสร้างความปรองดอง และการผลักดันให้ข้าราชการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งหลังจากนี้จะผลักดันกิจกรรมต่างๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้จะเร่งแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการทำการค้า การลงทุนของภาคเอกชน โดยจะปรับปรุงกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคให้หมดไป เพื่อสร้างความพร้อมให้กับผู้ประกอบการก่อนที่จะเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(เออีซี)
ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ในส่วนการบริหารจัดการสินค้าข้าว ขณะนี้มีคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการข้าว(นบข.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธาน กำหนดนโยบายบริหารจัดการอยู่แล้ว ซึ่งกระทรวงพาณิชย์เชื่อว่าจากนี้ไปจะสามารถผลักดันให้ชื่อเสียงของข้าวไทยกลับคืนมา และเป็นที่ต้องการของโลกเหมือนเดิม โดยขณะนี้เริ่มมีผู้แสดงความสนใจซื้อข้าวไทยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับการดูแลราคาข้าว นบข.ได้มีมาตรการออกมาแล้ว ทั้งการช่วยลดต้นทุนการเพาะปลูกให้กับเกษตรกร การใช้มาตรการเสริมในการดึงราคา เช่น การให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ การซื้อเก็บเข้ายุ้งฉาง เป็นต้น แต่หากต่อไปมีความจำเป็นที่จะต้องดูแลราคาข้าวเพิ่มขึ้น ก็จะมีมาตรการเสริมพิเศษ โดยจะแทรกแซงเท่าที่จำเป็น ส่วนการระบายข้าวในสต๊อกเป็นเรื่องในระดับนโยบาย
สำหรับงานด้านการค้าระหว่างประเทศจะเดินหน้าผลักดันการส่งออกต่อเนื่องทั้งตลาดเก่า ตลาดใหม่ เพื่อให้การส่งออกปีนี้ขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่ 3.5% จากปีก่อน และยังคงให้ความสำคัญกับการเจรจาการค้าระหว่างประเทศต่อไป เช่น การเจรจาจัดทำเขตการค้าเสรี(เอฟทีเอ) ส่วนการที่สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป(อียู) จะไม่ต่ออายุสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร(จีเอสพี) สินค้าไทย เชื่อว่าผู้ประกอบการไทยได้ปรับตัวรองรับ และมีขีดความสามารถในการแข่งขันอยู่แล้ว