ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเห็นว่าการคงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่ร้อยละ 7.0 ต่อเนื่องไปอีก 1 ปี น่าจะมีส่วนช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะการบริโภคภายในประเทศ ที่เพิ่งอยู่ในช่วงระยะเริ่มต้นให้มีความต่อเนื่องในช่วงระยะเวลากว่า 1 ปีข้างหน้า ท่ามกลางปัจจัยกดดันจากภาวะค่าครองชีพและหนี้ภาคครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น แต่คงต้องยอมรับว่า หากมีการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นร้อยละ 10 ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.58 ย่อมจะมีผลต่อทิศทางการใช้จ่ายภายในประเทศ นับตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2558 ไปจนถึงปี 2559
อย่างไรก็ตาม การประกาศล่วงหน้าและคงการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่ร้อยละ 7.0 ไปก่อนเป็นเวลา 1 ปีนั้น จะช่วยให้ผู้บริโภคและภาคธุรกิจมีเวลาปรับตัว ซึ่งน่าจะลดทอนผลกระทบด้านลบที่มีต่อภาคเอกชนไปได้บ้างบางส่วน เพราะจะเอื้อเวลาให้ผู้บริโภคและภาคธุรกิจมีเวลาทยอยตัดสินใจใช้จ่ายและสต็อกสินค้าได้ก่อนที่จะมีการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่อัตราใหม่
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า หากภาษีมูลค่าเพิ่มปรับขึ้นไปเป็นร้อยละ 10 ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.58 จะมีผลกระทบไม่มากต่อภาพเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในปี 58 เนื่องจากกระทบเพียงแค่ 3 เดือนสุดท้ายของปี แต่ผลต่อตัวเลขเงินเฟ้อจะมีมากขึ้นในปี 59 โดยคาดว่าจะมีผลทำให้อัตราเงินเฟ้อในปี 58 สูงขึ้นไปอีกประมาณร้อยละ 0.4-0.5 จากระดับประมาณการเงินเฟ้อที่ร้อยละ 2.5 ในกรณีที่ไม่มีการปรับเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม ดังนั้น คาดว่า ผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในปี 58 น่าจะอยู่ในกรอบที่จำกัด โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินในเบื้องต้นว่าเศรษฐกิจไทยในปี 58 อาจขยายตัวประมาณร้อยละ 4.0 โดยมีกรอบประมาณการอยู่ในช่วงร้อยละ 3.5-4.8 เร่งตัวขึ้นจากปี 57 ที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.3
อย่างไรก็ดี ขณะนี้อาจไม่สามารถประเมินผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มต่อระบบเศรษฐกิจเพียงลำพังด้านเดียว เนื่องจากคาดว่าภาครัฐน่าจะอยู่ระหว่างการพิจารณาการปรับโครงสร้างภาษีทั้งระบบ ซึ่งแม้ว่าจะมีการปรับเพิ่มภาษีบางประเภท แต่ก็คงมีการปรับลดภาษีบางประเภทลงมา(ซึ่งที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้ ได้แก่ อัตราภาษีที่ผ่อนปรนสำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม แผนการปรับปรุงค่าลดหย่อนสำหรับเงินได้ส่วนบุคคล และมาตรการดูแลภาระค่าครองชีพ) โดยภาครัฐน่าที่จะทยอยเปิดเผยรายละเอียดออกมาในช่วงหลายเดือนข้างหน้า ซึ่งน่าจะช่วยชดเชยผลในเชิงบวกกลับเข้ามาต่อระบบเศรษฐกิจในภาพรวมด้วยเช่นกัน ซึ่งการประเมินผลกระทบในปี 59 นั้น คงต้องรอรายละเอียดมาตรการในด้านอื่นๆ ที่ชัดเจนมากขึ้น