อย่างไรก็ตาม ได้แนะให้ผู้ประกอบการในประเทศระมัดระวังเรื่องความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่จะมีความผันผวนอย่างมากในช่วงต้นปีหน้า ซึ่งสถานการณ์อาจจะคล้ายคลึงกับการที่เฟดลดมาตรการ QE จึงอาจจะทำให้ช่วงไตรมาส 1/58 ค่าเงินบาทจะมีความผันผวนได้ แต่เชื่อจะเริ่มดีขึ้นหลังผ่านครึ่งแรกของปี 58 ไปแล้ว
"เงินบาทไทยปีนี้เรามองเป็น trend อ่อนค่า ถ้าแข็งค่าก็แข็งค่าได้ไม่นาน ช่วงที่เราคาดไว้คือ 32.50 บาท/ดอลลาร์ เพราะกระแสเงินที่เข้ามาในขณะนี้ต่างชาติหวังมาลงทุนในระยะสั้น โดยให้ผลตอบแทนที่สูง และเข้ามาในตลาดพันธบัตรระยะยาวค่อนข้างมาก ซึ่งปัจจุบันยังมีความเสี่ยงอยู่ เพราะหลังจากนี้ถ้าเฟดส่งสัญญาณที่ชัดเจนของการปรับขึ้นดอกเบี้ย ก็จะทำให้เงินที่ไหลเข้ามาไหลกลับออกไป"นายเบญจรงค์ กล่าว
พร้อมระบุว่า ธนาคารทหารไทยจะยังไม่ปรับประมาณการณ์จีดีพีในปีนี้ โดยยังคงอัตราการขยายตัวที่ 2% ตามเดิม เนื่องจากในครึ่งปีแรกเศรษฐกิจไทยถือว่าไม่มีการขยายตัว เป็นเพราะความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในประเทศ แต่หลังการเข้ายึดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)แล้ว ทำให้เกิดความเชื่อมั่นมากขึ้น สถานการณ์การเมืองสงบเรียบร้อย และส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจไทยที่เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวขึ้น โดยในครึ่งปีหลังประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 4.2%
อย่างไรก็ดี จีดีพีทั้งปีมีโอกาสขยับขึ้นไปที่ 2.5% ได้ หากการลงทุนของภาครัฐและเอกชนมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก ประกอบกับการปลดล็อคสภาพคล่องของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(SMEs) ก็จะเป็นตัวผลักดันให้จีดีพีปีนี้เพิ่มขึ้นจากเป้าที่ตั้งไว้ 2% ได้
ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ คาดว่ายังคงอยู่ที่ 2% แต่ในปีหน้าถ้าภาวะเศรษฐกิจของไทยตั้งแต่ครึ่งหลังของปีนี้ไปจนถึงปีหน้ามีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นอย่างมีศักยภาพ ประกอบกับความชัดเจนเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ก็คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจจะปรับขึ้นราว 0.50-0.75% จากระดับปัจจุบัน