พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ภาคธุรกิจอ้อยและน้ำตาลนับเป็นภาคธุรกิจที่มีความต้องการสูงในทุกภูมิภาค โดยประเทศไทยให้ความสำคัญภาคอุตสาหกรรมนี้เป็นลำดับแรกๆเพราะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจทั้งในประเทศไทยและระดับโลก โดยมีแรงงานที่อยู่ในภาคอุตสาหกรรมนี้กว่า 1 ล้านคนและมีผู้ประกอบการธุรกิจอ้อยและน้ำตาลที่จดทะเบียนในประเทศมากกว่า 3 แสนราย มีโรงงานที่ผลิตน้ำตาลได้มากถึง 750,000 ตันต่อวัน สร้างมูลค่าการซื้อขายน้ำตาลทั้งในประเทศและนอกประเทศมากกว่าปีละ 2 แสนล้านบาท นอกจากนี้ ผลผลิตจากการผลิตน้ำตาล ยังก่อให้เกิดการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมอื่นๆอีกมากมาย อาทิ การนำกากอ้อยไปผลิตเป็นพลังงานไฟฟ้า และพลังงานชีวภาพ
นอกจากนี้ หัวหน้า คสช.ได้ย้ำถึงนโยบายอ้อยและน้ำตาลว่า จะขยายพื้นที่ปลูกอ้อยให้เหมาะสมในลักษณะการโซนนิ่งพื้นที่ปลูก แต่ปริมาณผลผลิตน้ำตาลจะยังคงพอเพียงต่อความต้องการของตลาดผู้ค้าและผู้บริโภค นอกจากนั้นจะดำเนินนโยบายให้มีการกระจายโรงงานขนาดเล็กเข้าไปตั้งในพื้นที่เพาะปลูกอ้อยโดยให้ความสำคัญกับโรงงานที่ไม่ก่อมลพิษและส่งผลต่อสภาพแวดล้อม ซังปัจจุบันมีโรงงานน้ำตาล 50 โรงงานซึ่งคนไทยเป็นเจ้าของทั้งหมด พร้อมทั้งส่งเสริมอุตสาหกรรมอ้อยแบบครบวงจร ตั้งแต่การปลูก การผลิต และนำไปสู่การสร่างพลังงานทดแทนเพื่อนำไปผลิตเป็นเอทานอลให้มากยิ่งขึ้น
หัวหน้า คสช.ยังย้ำว่า ขณะนี้ประเทศไทยกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน เส้นทางคมนาคม ทั้งการสร้างถนน การสร้างรถไฟรางคู่ และการสร้างเส้นทางรถไฟเพื่อใช้ขนส่งเพิ่มเติมในบางพื้นที่ รวมถึงจะมีการปรับปรุงด่านศุลกากรบริเวณชายแดนให้สามารถระบายสินค้าและการจราจรได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น การดำเนินการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษตามชายแดนเพื่อรองรับ AEC และการเพิ่มประสิทธิภาพระบบอนุญาตการส่งออกน้ำตาลที่มีการขออนุญาตผ่านระบบ National Single Window ให้ดียิ่งขึ้น
ในโอกาสเดียวกันนี้ หัวหน้า คสช.ได้เชิญชวนให้กลุ่มธุรกิจในอุตสาหกรรมน้ำตาลซึ่งเป็นภาคธุรกิจระดับโลกที่มีปริมาณการซื้อกว่า 80% ของตลาดน้ำตาลโลกให้เข้ามาลงทุนในไทย ซึ่งไทยให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมน้ำตาลในไทยเนื่องจากไทยเป็นผู้ส่งออกน้ำตาลสูงเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชียและเป็นระดับ 2 ของโลก ซึ่งทางสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) จะดูเงื่อนไขพิเศษให้กับผู้ประกอบการที่มีความสนใจจะเข้ามาลงทุน