โดยประเทศแรกที่หอการค้าไทยและไอเมทจะให้การส่งเสริมคือ เวียดนาม เพราะมีศักยภาพสูง มีจำนวนประชากรกว่า 92 ล้านคน ส่วนใหญ่อยู่ในวัยแรงงาน และยังมีกำลังซื้อสูงขึ้น อีกทั้งรัฐบาลเวียดนามยังส่งเสริมอัตราภาษี โดยจะปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 22% ลงเหลือ 20% ในปี 60 รวมถึงการสนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศ
"ตอนนี้เวียดนามอยู่ในคลื่นลูกที่สองที่เริ่มมีความนิ่งขึ้น ทั้งเรื่องของราคาที่ดิน กฎหมายต่างๆ ที่มีความชัดเจนขึ้น จากช่วงแรกที่มีบริษัทใหญ่ๆ ของไทยหลายรายเข้าไปลงทุนและประสบความสำเร็จมาแล้ว จึงเหมาะที่สนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยเข้าไปลงทุน" นายอิสสระ กล่าว
ด้านนายสนั่น อังอุบลกุล รองประธานไอเมท กล่าวว่า ขณะนี้นักธุรกิจไทยจำเป็นที่ต้องขยับขยายการลงทุนออกไปต่างประเทศ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ต้องใช้แรงงานเข้มข้น แต่จะให้รอรัฐบาลเป็นผู้นำไปก็คงไม่ทันการ เพราะหน่วยงานของรัฐเก่งแต่ชักจูงให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนไทย แต่ไม่เก่งที่จะส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยออกไปลงทุนเพื่อนบ้าน ทำให้ภาคเอกชนรายใหญ่ที่ประสบความสำเร็จแล้วต้องลงมาช่วยสร้างเครือข่ายนักธุรกิจให้ ซึ่งจะหากสามารถดึงเอสเอ็มอีไปลงทุนแบบเป็นคลัสเตอร์ได้ก็จะดีมาก
โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทใหญ่ๆ ของไทย 14 รายที่เข้าไปลงทุนในเวียดนามแล้ว และพร้อมเป็นพี่เลี้ยง SMEs ที่ต้องการไปลงทุนในเวียดนาม เพื่อให้เกิดข้อผิดพลาดน้อยที่สุด ได้แก่ บมจ.ปตท.(PTT), กลุ่มเครือเจริญโภคภัณฑ์, บมจ. ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ (SITHAI), เครือเอสซีจี เป็นต้น และหากโมเดลนี้ประสบความสำเร็จก็จะขยายผลการลงทุนในกลุ่มประเทศอาเซียนอื่นๆ เช่น อินโดนิเซีย พม่า