ทั้งนี้ในช่วงปลายเดือนส.ค.ฟิลิปปินส์จะเปิดประมูลซื้อข้าวปริมาณ 500,000 ตัน ซึ่งเวียดนามในฐานะเจ้าตลาดเดิมอาจจะเข้าร่วมประมูลไม่เต็มจำนวน ดังนั้นไทยจึงมีโอกาสสูง เพราะขณะนี้ราคาข้าวไทยถูกกว่าเวียดนามประมาณ 20 ดอลลาร์สหรัฐ แต่เนื่องจากเป็นการประมูลข้าวลอตใหญ่เอกชนจึงต้องอาศัยความร่วมมือจากกระทรวงพาณิชย์ในการวางแผนเข้าร่วมประมูลครั้งนี้ เพราะฟิลิปปินส์ต้องการซื้อข้าวขาว 25% ซึ่งในตลาดมีน้อยจึงต้องประสานงานกันอย่างใกล้ชิดกับภาครัฐ
ด้านนายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ไทยจะส่งออกข้าวเกินกว่าเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้เดิมที่ 9 ล้านตัน แต่อาจจะไม่ถึง 10 ล้านตัน ส่งผลให้ราคาข้าวใหม่ที่จะออกในช่วงปลายปีขยับได้ถึงตันละ 8,500 บาท ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ต้องการ
โดยประเทศผู้ซื้อส่วนใหญ่ต้องการข้าวที่จะออกมาใหม่และไม่สนใจข้าวเก่าในสต็อกมากนัก ดังนั้น การระบายสต็อกทั้งหมด 18 ล้านตัน อาจจะต้องใช้วิธีให้รัฐชดเชยข้าวเก่า เพื่อให้เอกชนซื้อข้าวใหม่ในตลาดส่งมอบ เช่น กำหนดอัตราส่วนข้าวใหม่ 1 ตันต่อข้าวเก่า 1.3 ตัน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม หากมีการคัดแยกข้าวในสต็อกตามคุณภาพแล้วร่วมมือกับภาคเอกชนทำการตลาดเชื่อว่าจะสามารถระบายสต็อกทั้งหมด 18 ล้านตันได้ภายใน 3-4 ปี ซึ่งการเปิดประมูลขายข้าวในสต็อกรัฐบาลจะต้องไม่ทำให้ผลผลิตข้าวที่จะออกมาใหม่ราคาตก โดยเห็นว่าการเปิดประมูลข้าวครั้งละไม่เกิน 2 แสนตันในช่วง 1-2 เดือนนี้ ถือว่าเหมาะสมไม่กระทบราคาตลาด