ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวว่า ด้วยศักยภาพของประเทศไทยแล้วเศรษฐกิจในแต่ละปีมีโอกาสจะเติบโตได้ในระดับ 4-4.5% แต่เนื่องจากที่ผ่านมาต้องเผชิญกับปัญหาทางการเมืองภายในประเทศ รวมทั้งปัญหาภัยธรรมชาติ จึงทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้ต่ำกว่าศักยภาพ อย่างไรก็ดี ในช่วงไตรมาส 3-4 ของปีนี้ คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ 3-4% ซึ่งจะส่งผลให้ทั้งปีเติบโตได้ 2%
ขณะที่ในปีหน้ามองว่าเศรษฐกิจไทยมีโอกาสเติบโตได้ถึง 5.5% ซึ่งไม่ถือว่าสูงเกินไป เนื่องจากเป็นการเทียบกับฐานที่เติบโตต่ำในปีนี้ ประกอบกับ มีแรงอั้นด้านการลงทุนไปจากในปีนี้ ดังนั้น คงจะได้เห็นเศรษฐกิจไทยเข้าสู่การเติบโตได้เต็มศักยภาพตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป
“ธปท.ได้พยายามผ่อนคลายนโยบายทางการเงิน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจะยกระดับการเติบโตของประเทศให้เข้าสู่ศักยภาพ ซึ่งขณะนี้ความไม่แน่นอนทางการเมืองลดลงแล้ว หวังว่าเราจะทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจขึ้นมาเต็มตามศักยภาพได้ ขณะเดียวกันยังต้องพยายามเพิ่มศักยภาพของประเทศไทยให้มากขึ้นด้วย"ผู้ว่าการ ธปท.กล่าว
พร้อมระบุว่าการพยายามสร้างศักยภาพของประเทศให้เพิ่มขึ้นนั้นอาจไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะต้องอาศัยนโยบายด้านอื่นๆ ที่นอกเหนือไปจากนโยบายทางการเงินเข้ามาร่วมด้วย โดยเฉพาะนโยบายด้านอุปทาน เช่น ความสามารถของแรงงาน, การศึกษา, การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เป็นต้น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ความมั่นใจของผู้ลงทุน ซึ่งถ้ามีความมั่นใจก็จะช่วยในเรื่องการตัดสินใจลงทุนระยะยาวได้
นายประสาร ยังมองว่า ขณะนี้ตลาดการเงินของไทยถือว่ามีเสถียรภาพค่อนข้างดี โดยดูได้จากอัตราแลกเปลี่ยนที่มีเสถียรภาพ การเคลื่อนย้ายเงินทุนทั้ง 2 ทิศทาง คือทั้งเข้าและออกจากตลาดพันธบัตรและตลาดหุ้น แต่ทั้งนี้ ธปท.ก็ไม่ได้ประมาท โดยได้เตรียมพร้อมเครื่องมือที่สำคัญไว้รองรับ เช่น ระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่ยืดหยุ่น, เงินทุนสำรองระหว่างประเทศในระดับที่ค่อนข้างสูง แต่สิ่งสำคัญ คือ พื้นฐานเศรษฐกิจของไทยที่ยังดีอยู่ ซึ่งจะทำให้ไทยไม่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงมากจนเกินไป โดยขณะนี้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ อัตราการว่างงานไม่สูงมาก ระบบธนาคารพาณิชย์มีความเข้มแข็ง หนี้สาธารณะอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ และเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่มากพอ
“ในระดับเศรษฐกิจมหภาคมีความมั่นคงพอสมควร แต่ก็ไม่ควรประมาท โดยต้องติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด" ผู้ว่าฯ ธปท.ระบุ
ส่วนปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ เช่น ปัญหาหนี้ครัวเรือนนั้น แม้ปัจจุบันยังอยู่ในระดับสูงถึง 83% ของจีดีพี แต่ก็ถือว่าเริ่มชะลอตัวลงจากกลางปี 56 ซึ่งสามารถเบาใจได้ในระดับหนึ่ง และจะเห็นได้ว่าสถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่อต่างๆ มีความระมัดระวังมากขึ้น และการขยายสินเชื่อในภาคครัวเรือนขณะนี้ไม่ได้ขยายตัวสูงดังเช่นในอดีต แต่ปัจจัยที่ยังต้องติดตามคือ หนี้ภาคต่างประเทศ ที่ต้องติดตามความผันผวนอย่างใกล้ชิด
นายประสาร กล่าวถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของกระทรวงการคลังว่า ควรจะออกมาเป็นแพคเกจในคราวเดียวกัน เพื่อให้เกิดความครบถ้วนทั้งในแง่ของรายได้และรายจ่าย โดยมองว่าจากสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ด้านรายจ่ายน่าจะขับเคลื่อนได้เป็นปกติ ไม่เหมือนกันช่วงก่อนหน้าที่มีปัญหาการเมืองภาย เมื่อนโยบายการคลังขับเคลื่อนได้ก็จะเป็นภาระต่อนโยบายทางการเงินน้อยลง
ในด้านการจัดเก็บรายได้เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อรักษาสมดุลด้านการคลัง แต่การปรับขึ้นอัตราภาษีหากทำในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมอาจกลายเป็นตัวหยุดการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ ซึ่งเห็นว่า รมว.คลังคนใหม่คงต้องพิจารณาภาพรวมให้สอดคล้องกันอย่างรอบคอบ
ผู้ว่าการ ธปท. ยังระบุว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไม่ควรดำเนินมาตรการอย่างใจร้อน แต่ควรทำในลักษณะที่ไม่เป็นภาระต่องบประมาณมากเกินไป และต้องเกิดประโยชน์โดยรวมต่อประเทศ ซึ่งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ, การเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามที่ได้รับการจัดสรรไว้ หรือการเร่งอนุมัติคำขอส่งเสริมการลงทุนของโครงการภาคเอกชน ถือว่าเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระบบได้
“ในจุดต่างๆ ถ้าเกิดมีปัญหาเฉพาะขึ้น การจะใช้เงินบ้างก็ไม่เป็นอะไร เพื่อช่วยลดความเดือดร้อนของประชาชน แต่อย่าไปทำเป็น scale ที่เสียเงินเสียทองมากมาย และวันหน้าจะเป็นภาระตามมา"ผู้ว่าการ ธปท.กล่าว
ขณะเดียวกัน ยืนยันว่านับตั้งแต่มีการบริหารประเทศโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ไม่ได้สร้างแรงกดดันต่อการทำงานของ ธปท.แต่อย่างใด