"หากมองในมุมลูกค้าจะเป็นโอกาสที่ดีมากเพราะจะช่วยให้ผู้ประกอบการมีความแข็งแกร่งมากขึ้น และเมื่อรวมกับผลจากการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและเอสเอ็มอีจากภาครัฐแล้ว เชื่อว่าผู้ประกอบการจะสามารถเดินไปข้างหน้าได้อย่างคล่องตัวและมั่นใจ"นายปพนธ์ กล่าว
นายปพนธ์ กล่าวว่า เอสเอ็มอีเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจที่สำคัญของระบบเศรษฐกิจไทย ดังนั้น การเร่งส่งเสริมผู้ประกอบการจะต้องเป็นไปอย่างรวดเร็วและตรงกับความต้องการของลูกค้า ซึ่งเป็นแนวทางที่ทีเอ็มบียึดถือตลอดมา ดังนั้น ความร่วมมือระหว่างทีเอ็มบีกับไอเอฟซี ครั้งนี้ จึงเป็นความร่วมมือที่สำคัญและเกิดขึ้นในจังหวะเวลาที่เหมาะสมพอดี
"ทีเอ็มบียังคงเน้นให้ความสำคัญในการให้ความสนับสนุนทางการเงินและการเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ในฐานะสถาบันการเงินที่มีส่วนในการพัฒนาศักยภาพและประสิทธิภาพของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะนี้ที่แนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศเริ่มฟื้น ประกอบกับความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการเริ่มกลับมาดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีในการเดินหน้าวางแผน เตรียมความพร้อมให้กับธุรกิจของตน" นายปพนธ์ กล่าว
TMB และไอเอฟซีได้มีความร่วมมือในโครงการเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมาตั้งแต่ปี 54 เป็นการร่วมมือกันฟื้นฟูธุรกิจเอสเอ็มอีหลังน้ำท่วมใหญ่ ในโครงการเงินกู้ 50 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1,550 ล้านบาทไทย ต่อมาในปี 55 ได้ทำความตกลงกันปล่อยสินเชื่อระยะยาวสกุลดอลลาร์สหรัฐ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่เป็นผู้ส่งออก ในวงเงิน 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมใหญ่ และในปี 2556 ได้ร่วมป้องกันความเสี่ยงสำหรับผู้นำเข้า-ส่งออก สนับสนุนผู้ประกอบการไทยที่ต้องการขยายธุรกิจไปยังตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) โดยการเข้าร่วมในโครงการ Global Trade Finance Program (GTFP) และทีเอ็มบีเป็นธนาคารพาณิชย์ไทยแห่งแรกที่เข้าร่วมโครงการนี้