ตั้งแต่ต้นปี 2557 ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นหนึ่งในหลายภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบซึ่งมีความซับซ้อน ทั้งจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและปัญหาการเมืองในประเทศที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุน ขณะที่ภาระค่าครองชีพที่สูงขึ้น และปัญหาหนี้ในภาคครัวเรือน ยังเป็นแรงกดดันต่ออำนาจการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค ภายใต้ปัจจัยลบดังกล่าวข้างต้นได้ส่งผลกระทบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ทั้งในด้านของการลงทุนโครงการใหม่ที่ชะลอตัว และกิจกรรมการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่ลดลง เห็นได้ว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯและปริมณฑลในช่วงครึ่งแรกของปี 2557 ที่ผ่านมา ยอดจอง (Presales) ที่อยู่อาศัยของผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่ลดลง โดยยอดจองเฉลี่ยของตลาดลดลงประมาณร้อยละ 28.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เช่นเดียวกับจำนวนที่อยู่อาศัยเปิดใหม่ที่หดตัวกว่าร้อยละ 25.0 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ขณะที่กิจกรรมการลงทุนและการซื้อขายที่อยู่อาศัยในต่างจังหวัดชะลอตัวลงเช่นเดียวกัน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้จัดทำแบบสำรวจภายใต้หัวข้อ "พฤติกรรมการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยของคนไทย" พบว่า ภายหลังจากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามาบริหารประเทศ ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคมีทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นได้จากปัจจัยที่สร้างความกังวลต่อการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้ตอบแบบสอบถามไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศ ทิศทางเศรษฐกิจและความมั่นคงทางรายได้มีน้ำหนักลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับผลสำรวจที่จัดทำก่อนที่ คสช.จะเข้ามาบริหารประเทศ
โดยเมื่อสอบถามปัจจัยที่สร้างความกังวลต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามให้น้ำหนักในเรื่องของความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจ คิดเป็นร้อยละ 26.9 แต่ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจก่อนที่ คสช.จะเข้ามาบริหารประเทศ ขณะที่ปัจจัยรองลงมา คือ ความกังวลเรื่องรายได้ในอนาคตของผู้บริโภค คิดเป็นร้อยละ 23.2 ซึ่งลดลงเช่นกันเมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจก่อนที่ คสช.จะเข้ามาบริหารประเทศ
ส่วนปัจจัยที่สร้างความกังวลต่อการซื้อที่อยู่อาศัยรองลงมา คือ ทิศทางอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขาขึ้นคิดเป็นร้อยละ 20.8 เป็นที่น่าสังเกตว่าผลสำรวจภายหลังจากสถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลาย ผู้ตอบแบบสอบถามให้น้ำหนักเรื่องของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ค่อนข้างมาก ทั้งนี้อาจเป็นผลมาจากเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ที่ทยอยปรับตัวดีขึ้น ซึ่งจะมีผลต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ และอาจส่งผลต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยในประเทศไทยในระยะข้างหน้า
สำหรับความกังวลในเรื่องปัจจัยด้านค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น ได้สร้างความกังวลในการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 19.5 ขณะที่ความกังวลในเรื่องของภาวะการเมืองในประเทศ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 9.6 ซึ่งลดลงเมื่อเทียบกับร้อยละ 13.2 จากผลสำรวจก่อนที่ คสช.จะเข้ามาบริหารประเทศ โดยเฉพาะผู้ตอบแบบสอบถามในเขตกรุงเทพฯ ที่ให้น้ำหนักความกังวลด้านการเมืองลดลง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่าจากการที่ คสช.เข้ามาบริหารประเทศ นอกจากจะมีผลต่อความเชื่อมั่นที่ดีขึ้นแล้ว ยังส่งผลให้ผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยมีความชัดเจนมากขึ้นในการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย ซึ่งสะท้อนได้จากผลสำรวจความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยของคนไทย พบว่า ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยยังมีต่อเนื่อง โดยผู้ตอบแบบสอบถามที่มีความคิดที่จะซื้อที่อยู่อาศัย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 52.9 ขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถามที่คิดจะปลูกสร้างบ้านเอง คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 24.1 และผู้ที่ไม่คิดจะซื้อที่อยู่อาศัยคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 23.0 เนื่องจากซื้อไปแล้ว
ทั้งนี้ เมื่อสอบถามถึงช่วงเวลาที่ผู้ตอบแบบสอบถามที่มีความคิดที่จะซื้อที่อยู่อาศัย พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามยังไม่ตัดสินใจช่วงเวลาที่ชัดเจนคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 55.6 ซึ่งลดลงเมื่อเทียบกับผลสำรวจก่อนที่ คสช.จะเข้ามาบริหารประเทศ (ผู้ตอบแบบสอบถามยังไม่ตัดสินใจช่วงเวลาที่ชัดเจนคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 62.8 ของผู้ตอบแบบสอบถามที่คิดจะซื้อที่อยู่อาศัย)
ขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถามที่มีความคิดที่จะซื้อที่อยู่อาศัยในปี 2557 นี้ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 14.2 ของผู้ตอบแบบสอบถามที่คิดจะซื้อที่อยู่อาศัย และผู้ที่คิดจะซื้อในอีก 1-3 ปี ข้างหน้า คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อย 30.2 ของผู้ตอบแบบสอบถามที่คิดจะซื้อที่อยู่อาศัย ซึ่งปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับผลสำรวจก่อนที่ คสช.จะเข้ามาบริหารประเทศ
ทั้งนี้ การทำตลาดที่อยู่อาศัยในระยะหลังนั้น ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้มีเพียงกลุ่มลูกค้าในพื้นที่เท่านั้น แต่ยังมองถึงกลุ่มลูกค้าในจังหวัดใกล้เคียงหรือจากจังหวัดอื่น ด้วยจุดประสงค์ที่ซื้อเพื่อเป็นบ้านหลังที่ 2 หรือเป็นการซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อการลงทุน
นอกจากนี้ ในการสอบถามความคิดเห็นของผู้ตอบแบบสอบถามถึงการทำกลยุทธ์ทางการตลาดของผู้ประกอบการว่ามีส่วนในการจูงใจให้ตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยหรือไม่ พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 57.3 มีความเห็นว่ากลยุทธ์การตลาดมีผลต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย สำหรับกลยุทธ์การตลาดของผู้ประกอบการที่ผู้ตอบแบบสอบถามให้น้ำหนักมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ โปรโมชั่นอัตราดอกเบี้ยพิเศษร่วมกับสถาบันการเงิน คิดเป็นร้อยละ 24.9 รองลงมา คือ แคมเปญการแจกของสมนาคุณ เช่น เครื่องครัว เครื่องใช้ไฟฟ้า และเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 22.5 และการตลาดในรูปแบบของการลดราคาที่อยู่อาศัย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 21.4
"ภายหลังจากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามาบริหารประเทศ ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคมีทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นได้จากปัจจัยที่สร้างความกังวลต่อการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้ตอบแบบสอบถาม ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศ ทิศทางเศรษฐกิจและความมั่นคงทางรายได้มีน้ำหนักลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับผลสำรวจที่จัดทำก่อนที่ คสช.จะเข้ามาบริหารประเทศ" เอกสารเผยแพร่ระบุ
อนึ่ง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้จัดทำแบบสำรวจ ภายใต้หัวข้อ ศึกษาพฤติกรรมการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยของคนไทย โดยทำการสำรวจในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล ซึ่งเป็นตลาดที่มีกิจกรรมการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยเป็นสัดส่วนที่สูง และได้ทำการสำรวจในจังหวัดที่เป็นหัวเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ สงขลา ภูเก็ต นครราชสีมา ขอนแก่น เชียงใหม่และชลบุรี