มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ประกาศวานนี้เป็นมาตรการที่ดีช่วยลดความเสี่ยงเรื่องการเบิกจ่ายของภาครัฐ รวมทั้งเพิ่มเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ระบบ ทั้งเงินช่วยเหลือชาวนา 4 หมื่นล้านบาท และงบไทยเข้มแข็ง 1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นความมุ่งมั่นการแก้ปัญหาของรัฐบาล
ส่วนประสิทธิภาพของมาตรการดังกล่าวจะได้ผลมากน้อยเพียงใดนั้น ต้องดูผลที่ส่งผ่านไปยังภาคเอกชนว่าจะเกิดการลงทุนตามหรือไม่ เพราะการลงทุนภาคเอกชนมีส่วนผลักดันเศรษฐกิจมากกว่าลงทุนภาครัฐ และเชื่อว่าผลจากมาตรการนี้จะเกิดต่อเศรษฐกิจในปี 58 ซึ่งความมั่นใจของภาคเอกชนจะช่วยให้มีการลงทุนและเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้มีการเติบโตตามที่คาดไว้
นายประสาร มองว่า มาตรการจ่ายเงินเพื่อช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1 พันบาท และสูงสุดไม่เกิน 1.5 หมื่นบาท ไม่ใช่มาตรการประชานิยม เพราะมีการจำกัดวงเงินไว้เพียง 4 หมื่นล้านบาทในระยะ 1 ปี ซึ่งไม่ส่งผลกระทบให้กลไกราคาตลาดบิดเบือน และเป็นการมุ่งเน้นช่วยเหลือชาวนาที่เป็นรากหญ้าอย่างแท้จริง โดยเป็นมาตรการนี้เป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น หลังจากนี้ควรจะมีมาตรการระยะยาวเข้ามาปรับปรุงประสิทธิภาพอย่างยั่งยืนด้วย
สำหรับผลกระทบจากเหตุชุมนุมที่ฮ่องกงนั้น ผู้ว่า ธปท.กล่าวว่า ยังคงติดตามสถานการณ์อยู่ โดยขณะนี้ทุกอย่างยังปกติ และคิดว่าไทยคุ้นเคยกับสถานการณ์เช่นนี้ ไม่ได้มีการตื่นตระหนกและยังคงทำงานไปตามปกติ
ผู้ว่าการ ธปท. ยังกล่าวถึงกรณีที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ(คนร.) มีมติให้ ธปท.เข้ามามีส่วนร่วมในการกำกับดูแลธนาคารเพื่อการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(SMEs Bank) และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย(ไอแบงก์) เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นและประสิทธิภาพขององค์กรว่า ขณะนี้คงเร็วเกินไปที่จะพูดว่าจะมีการควบรวมกิจการหรือไม่ คงต้องรอให้มีการจัดทำแผนที่มีความชัดเจนก่อน โดยขั้นตอนต่อไปน่าจะมีการปรับแก้เรื่องกฎหมาย และตอนนี้ยังอยู่ในความดูแลของกระทรวงการคลัง