"ยืนยันว่าขณะนี้รัฐบาลเดินหน้าการทำงานเข้าสู่ระยะที่ 2 แล้ว การผลักดันโครงการต่างๆ ไม่ใช่โครงการประชานิยม แต่เป็นการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน และเป็นการวางรากฐานในอนาคต"นายกรัฐมนตรี กล่าว
ทั้งนี้ รัฐบาลช่วยเหลือเกษตรกรชาวนา จะแบ่งกลุ่มเพื่อดูแลและแก้ปัญหาให้อย่างเป็นระบบ 4 กลุ่ม คือ 1.เกษตรกรที่มีที่ดินทำกินน้อย 2.เกษตรกรที่มีที่ดิน 40 ไร่ขึ้นไป 3.ชาวนาที่มีเงินทุน มีเครื่องมือจักรกลทางการเกษตร ทำให้ได้ผลผลิตมากและมีคุณภาพ 4.เป็นเจ้าของที่ดินและปล่อยเช่าให้ชาวนาคนอื่นๆ
สำหรับมาตรการช่วยเหลือของรัฐบาล จะให้ศูนย์ดำรงธรรมและเกษตรจังหวัดทำหน้าที่ประสานกันในการขับเคลื่อนช่วยเหลือเกษตรกร กำหนดพื้นที่เพาะปลูก รวมถึงสร้างแรงจูงใจในการปรับเปลี่ยนการเพาะปลูกหรือจัดโซนนิ่ง โดยจะให้กระทรวงมหาดไทยเป็นประธานทำงาน ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ เพื่อเป็นต้นแบบในการนำไปใช้กับพืชชนิดอื่น เช่น ยางพารา รวมทั้งจะดูแลการขึ้นทะเบียนชาวนา
ทั้งนี้ มีแนวคิดจะสร้างเกษตรกรรุ่นใหม่ โดยให้ทุกกระทรวงดูแลเรื่องการหาทุนการศึกษาให้ลูกชาวนา เพื่อที่จะเติบโตเกษตรกรที่ดีในอนาคต
"ผมมีความคิดจะส่งเสริมให้คนรักชาวนา ทำอย่างไรให้คนทั่วโลกให้มากินข้าวไม่ใช่กินขนมปัง ให้คนทั่วโลกกินข้าวมากขึ้นร่างกายจะได้แข็งแรงและจะทำให้เราขายข้าวได้มากขึ้น"
นอกจากนี้ มีแนวคิดจะพัฒนาให้พื้นที่ปลูกข้าวเป็นแหล่งท่องเที่ยววิถีพื้นบ้าน ให้นักท่องเที่ยวเรียนรู้การปลูกข้าวทุกขั้นตอน
ด้านม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า ที่ประชุม นบข. ได้หารือมาตรการรับมือกับข้าวที่จะทยอยออกมาในเดือน พ.ย. และ ธ.ค.นี้ ซึ่งมีประมาณ 27 ล้านเกวียน แบ่งเป็น ข้าวหอมมะลิ 8 ล้านเกวียน ข้าวนึ่ง 7 ล้านเกวียน และข้าวขาว ซึ่งมีแนวทางในการช่วยเหลือ ข้าวหอมมะลิ และข้าวนึ่ง จะให้ชาวนาเก็บไว้ในยุ้งฉางของตนเอง รอจนกว่าราคาจะดีขึ้น โดย ธ.ก.ส. จะให้สินเชื่อร้อยละ 80 ของมูลค่าข้าวให้กับชาวนา
ส่วนข้าวขาว ซึ่งแบ่งเป็นข้าวขายเกรดสูง ประมาณ 5 ล้านเกวียน จะมีราคาที่ดีอยู่แล้ว ส่วนข้าวขาวคุณภาพต่ำ ประมาณ 6-7 ล้านเกวียนนั้น ทางกระทรวงพาณิชย์จะปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้กับโรงสี เพื่อรับซื้อข้าวขาวคุณภาพต่ำมาเก็บไว้ รอการขาย
มาตรการดังกล่าวจะเริ่มดำเนินการทันที เนื่องจากมีชาวนาได้มาขึ้นทะเบียนไว้เรียบร้อยแล้ว และจะนำมาตรการดังกล่าว เข้าสู่ที่ประชุม ครม. ในวันพรุ่งนี้ (7 ต.ค.)
ส่วนมาตรการระยะยาว ได้มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาทำงาน 2 คณะ คณะแรกจะเข้ามาดูการจัดทำโซนนิ่งเกษตร ส่วนอีกคณะจะดูแลเรื่องที่ดินทำกินของเกษตรกร จะสำรวจพื้นที่ทำเกษตรอย่างชัดเจนเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย อีกทั้งส่งเสริมให้ชาวนาลดพื้นที่การทำนาปรัง ซึ่งจะตรงกับช่วงฤดูแล้ง โดยรัฐบาลก็จะเข้ามาดูแลเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และจะมีการจัดทำแผน เสนอมายังที่ประชุมในครั้งต่อไป
"มาตรการในระยะยาว จะดูแลชาวนาในรูปแบบไม่ให้ราคาข้าวตกต่ำ แต่ราคาข้าวจะสูงขึ้นหรือไม่ ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ตลาดโลก โดยปัจจุบันราคาข้าวขาวอยู่ที่ 7,000-8,000 บาท"
ส่วนการระบายสต็อกข้าวของรัฐบาล กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุดในเดือน ส.ค.-ก.ย. ระบายข้าวได้ถึง 9 แสนตัน แต่จะไม่มีการระบายสต็อกข้าว ในช่วงที่ข้าวของชาวนาออกมามาก
รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ยังเชื่อมั่นว่า ไทยจะกลับมาครองแชมป์ส่งออกข้าวเป็นอันดับ 1 ของโลก โดยขอดูตัวเลขการส่งออกในเดือนธ.ค.นี้ก่อน
พร้อมยืนยัน ว่า มาตรการช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1 พันบาทนั้น ชาวนาที่ขึ้นทะเบียนไว้จะได้รับเงินอย่างแน่นอน ผ่านทางบัญชี ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดยไม่มีเจ้าของที่ดินเข้ามาสวมสิทธิ์หรือรับเงินแทนชาวนา ซึ่งขณะนี้มีชาวนาตัวจริงมาลงทะเบียนไว้ประมาณ 3.4 ล้านครัวเรือน