อย่างไรก็ดี ในปีหน้ายังต้องจับตาจุดเปลี่ยนในการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ทั้งเรื่องมาตรการ QE และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพราะหลังจากที่เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวได้ค่อนข้างดี อาจจะทำให้เฟดตัดสินใจปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้ในช่วงกลางปีหน้า
ขณะที่เศรษฐกิจในสหภาพยุโรป จีน และญี่ปุ่นนั้นยังอยู่ในช่วงการชะลอตัว ดังนั้นจึงต้องจับตาว่ารัฐบาลของแต่ละประเทศจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอย่างไร ทั้งนี้แม้เศรษฐกิจของประเทศดังกล่าวจะยังชะลอตัว แต่ไทยก็อาจจะได้การส่งออกไปยังกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน คือ กัมพูชา, ลาว, พม่า และเวียดนาม(CLMV) เข้ามาช่วยทดแทนได้บ้าง
นายเชาว์ ยังกล่าวถึงเศรษฐกิจไทยในปีนี้ โดยคาดว่าจะเติบโตได้เพียง 1.6% เท่านั้น จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโตได้ 2.3% ซึ่งการบริโภคของประชาชนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ออกมาอาจจะสามารถชดเชยการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาได้เพียงบางส่วนเท่านั้น ส่วนในช่วงที่เหลือของปีนี้ การเติบโตทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่จะมาจากงบประมาณของภาครัฐ และวงเงินช่วยเหลือภาคเกษตรในเรื่องของต้นทุนการผลิต