ที่ผ่านมามีผู้ประกอบการหลายรายทั้งไทยและต่างชาติประสบความสำเร็จในการเจาะตลาดและขยายฐานการผลิตในอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม(CLMV) ก่อนที่ก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) อย่างเป็นทางการในปีหน้า เพราะการเชื่อมโยงตลาดและฐานการผลิตในอาเซียนเป็นสิ่งจำเป็น
"มีเอกชนไทยกลุ่มหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญของตนในการบริหารจัดการเครือข่ายการผลิตในประเทศเพื่อนบ้านแล้ว ความท้าทายต่อไปของเอกชนกลุ่มนี้คือ การขยับไปเป็นผู้ที่สามารถยื่นข้อเสนอแก่ผู้ว่าจ้างเกี่ยวกับการเลือกใช้วัตถุดิบ การกำหนด สเปกต่างๆ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูงมาก ในขณะที่เอกชนกลุ่มเสื้อผ้าแฟชั่นสตรีควรเน้นเจาะตลาดอาเซียนมากขึ้นและพยายามถอดแบบเสื้อผ้าของแบรนด์ชื่อดังให้เร็วขึ้นเพื่อโอกาสทางธุรกิจ ส่วนเอกชนกลุ่มสิ่งทอจะต้อง เน้นวิจัยพัฒนาด้านวัสดุศาสตร์ให้ลงลึกไปถึงระดับเส้นใย" นายสมชาย กล่าวในงานสัมมนา เรื่อง “อยู่หรือไป? อนาคตอุตสาหกรรมไทยเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน”
ผู้อำนวยการ สศอ. กล่าวว่า ที่ผ่านมาการปรับปรุงกฎระเบียบและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานยังตามไม่ทัน ภาครัฐจึงควรเร่งดำเนินการเพื่อไม่ให้เอกชนไทยเสียโอกาสและความสามารถในการแข่งขัน สิ่งที่ภาคเอกชนอยากให้เกิดขึ้น เช่น การเชื่อมโยงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าส่งออกทั้งหมดเข้าด้วยกันภายใต้ระบบศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียว(National Single Window) ซึ่งจะช่วยเพิ่มความโปร่งใส ลดระยะเวลาและค่าใช้จ่ายให้กับภาคเอกชนได้มาก