ทั้งสองระบบดังกล่าวจะเน้นให้หน่วยงานภาครัฐสามารถจัดหาพัสดุให้สอดคล้องกับรูปแบบประเภทสินค้า เงินงบประมาณที่ได้รับ และระยะเวลาที่จัดหาเพื่อให้เกิดความคุ้มค่า ในราคาที่เหมาะสมและทันเวลาที่ต้องการใช้งาน ส่วนผู้ค้าภาครัฐจะสามารถจัดซื้อจัดจ้างได้สะดวกและเท่าเทียมกัน และเป็นการพัฒนาสินค้าและบริการให้มีความเป็นมาตรฐานรวมทั้งสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้ภาคธุรกิจของประเทศไทย
“คาดว่าจะเริ่มการใช้งานในระบบนี้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2557 เป็นต้นไป โดยจะใช้กับหน่วยงานนำร่องในสังกัดกระทรวงการคลัง 9 แห่ง ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กรมธนารักษ์ กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต กรมสรรพากร กรมบัญชีกลาง สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ และโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข 3 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลเลิดสิน โรงพยาบาลราชวิถี และสถาบันโรคทรวงอก โดยจะใช้กับสินค้านำร่องซึ่งเป็นวัสดุสำนักงาน 5 ประเภท ได้แก่ กระดาษถ่ายเอกสาร ผงหมึก/ตลับหมึก แฟ้มเอกสาร เทปกาว ซองเอกสาร และยารักษาโรค 2 ชนิด ได้แก่ ยารักษาโรคอัลไซเมอร์และยารักษาโรคเบาหวาน" นายมนัส กล่าว