บทวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่าการเร่งตัวของหนี้ครัวเรือนในช่วงที่ผ่านมา ยังไม่เป็นปัจจัยเสี่ยงระยะสั้นต่อเสถียรภาพของระบบการเงินโดยรวม เนื่องจากมูลค่าหนี้ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่กระจุกตัวในกลุ่มผู้ที่รายได้ปานกลางถึงสูง ซึ่งมีความสามารถในการชาระหนี้ที่ดีกว่า อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงต่อสถาบันการเงินแต่ละประเภทจะต่างกันขึ้นอยู่กับกลุ่มลูกหนี้ของตน
สำหรับนัยต่อเศรษฐกิจมหภาค ภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้การบริโภคของครัวเรือนขยายตัวได้น้อยลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงต่อไป โดยเฉพาะกลุ่มครัวเรือนที่มีสัดส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ (DSR) สูงกว่า 40% ขึ้นไป ซึ่งคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางทางการเงิน และมีความกังวลใจต่อการชำระหนี้ในอนาคต นอกจากนั้น หากอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจะส่งผลต่อสุขภาพทางการเงินของภาคครัวเรือน ทำให้มีสัดส่วนของครัวเรือนที่มีความเปราะบางทางการเงินสูงขึ้น
ทั้งนี้ ความเปราะบางนี้จะเกิดเพิ่มขึ้นทั้งกลุ่มรายได้น้อยเนื่องจากมีประเภทหนี้ที่อ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของดอกเบี้ย และกลุ่มครัวเรือนรายได้ปานกลางถึงสูง เพราะจะทำให้มีสัดส่วนครัวเรือนที่มีภาระการชาระหนี้ข้ามเส้นมาอยู่ในระดับเปราะบางมากขึ้นอย่างมีนัยสาคัญ (DSR สูงกว่าร้อยละ 40)
ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะ 4 ข้อ คือ 1) ให้ผู้ดำเนินนโยบายดูแลไม่ให้เศรษฐกิจตกอยู่ในภาวะเงินฝืด เพราะในช่วงดังกล่าวรายได้ครัวเรือนจะลดลงแต่ภาระการชำระหนี้ที่แท้จริงจะสูงขึ้น ซึ่งกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนได้ 2) ดูแลความเสี่ยงทางการเงินของภาคครัวเรือน ผ่านการส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่เหมาะสม 3) ส่งเสริมการวางแผนทางการเงินแก่ครัวเรือน และ 4) ดูแลไม่ให้หนี้สาธารณะสูงเกินไป เพื่อให้ภาครัฐมีความสามารถในการจัดการกับความผันผวนของเศรษฐกิจที่อาจสูงขึ้นในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ผู้วิจารณ์เห็นด้วยกับข้อสรุปของงานวิจัยนี้ โดยเฉพาะในประเด็นความท้าทายของการบริหารจัดการเศรษฐกิจจะสูงขึ้นภายใต้ภาระหนี้ที่สูงของภาคครัวเรือน และมีความเห็นว่าการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนจะต้องทำในลักษณะบูรณาการและเป็นความรับผิดชอบของทุกภาคส่วน โดยเน้นการสร้างความรู้และวินัยทางการเงินให้กับภาคครัวเรือน การกำกับดูแลให้การนำเสนอผลิตภัณฑ์สินเชื่อของสถาบันการเงินเหมาะสมและมีความรับผิดชอบ รวมทั้งพัฒนาฐานข้อมูลให้ครบถ้วนครอบคลุมเพื่อการวิเคราะห์ความเสี่ยงที่ถูกต้องเหมาะสม