“โครงการ‘เมืองไทยรับทรัพย์ตลอดชีพ 90/7’" จัดเป็นประกันชีวิตแบบคุ้มครองตลอดชีพที่ให้ความคุ้มค่าแก่ผู้เอาประกันภัยอย่างครบถ้วน โดยให้ความคุ้มครองชีวิต100%* ยาวจนครบอายุ 90 ปี แต่จ่ายเบี้ยประกันภัยในระยะเวลาที่สั้นเพียง 7 ปี ซึ่งเป็นระยะเวลาที่สั้นกว่าแบบประกันชีวิตแบบคุ้มครองตลอดชีพทั่วไปที่มีในปัจจุบัน อีกทั้งยังเพิ่มความพิเศษให้แก่ลูกค้าตรงที่มีเงินจ่ายคืนระหว่างสัญญา โดยจะได้รับเงินจ่ายคืน 2%*ณ สิ้นปีกรมธรรม์ที่ 2,4,6,8,10,12 และ 14 นอกจากนี้ยังรับเงินจ่ายคืนทุกปี ปีละ 2%* ตั้งแต่สิ้นปีกรมธรรม์ที่ 16 จนครบอายุ 89 ปี พร้อมเงินครบสัญญาอีก 100%*(* เป็น % ของจำนวนเงินเอาประกันภัย ณ วัน เริ่มทำสัญญา /-ผลประโยชน์ เงื่อนไขและความคุ้มครองเป็นไปตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์) เหมาะกับผู้ที่กำลังสร้างครอบครัวและต้องการสร้างหลักประกันไว้ให้ลูกหลานโดยผ่านทางเลือกที่คุ้มค่า รวมถึงกลุ่มคนทำงานที่ต้องการใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีเงินได้" นายสาระ กล่าว
ทั้งนี้ “โครงการ‘เมืองไทยรับทรัพย์ตลอดชีพ 90/7’" เป็นแบบประกันชีวิตตลอดชีพที่สามารถตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการสร้างเงินออมได้เป็นอย่างดี เพราะสามารถเลือกจำนวนเงินเอาประกันภัยให้ตรงกับจำนวนเงินออมที่ต้องการสร้าง ในขณะเดียวกันยังมีเงินจ่ายคืนระหว่างสัญญาที่สามารถนำไปใช้จ่ายได้ตามความต้องการ เรียกได้ว่าได้ประโยชน์ทั้งผู้เอาประกันภัยและผู้รับประโยชน์ในแบบประกันเดียว
“ลูกค้าผู้สนใจสามารถทำประกันโครงการ‘เมืองไทยรับทรัพย์ตลอดชีพ 90/7’"ได้ตั้งแต่อายุ 1 เดือน – 70 ปี ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปและหากทำประกันตั้งแต่อายุยังน้อย เบี้ยประกันภัยก็จะยิ่งถูก เพราะเบี้ยประกันภัยคงที่ตลอดอายุสัญญา สามารถบริหารการชำระได้อย่างสบายๆ แต่ได้รับความคุ้มค่ายิ่งกว่าเดิม"
ขณะเดียวกัน บริษัทยังเปิดตัวโครงการ ‘เมืองไทย SME Smile’ เพื่อตอบโจทย์ธุรกิจขนาดเล็ก ที่ต้องการรับความคุ้มครองที่ครอบคลุม ทั้งประกันชีวิต ประกันอุบัติเหตุ ประกันทุพพลภาพ และประกันสุขภาพกลุ่มโดยชูจุดเด่นแม้เป็น ‘ธุรกิจเล็ก แต่รับความคุ้มครองใหญ่…3 คนก็คุ้มครองได้’ โดดเด่นด้วยผลประโยชน์ที่คุ้มค่าไม่ว่าจะเป็น คุ้มครองกรณีเสียชีวิต สูงสุดถึง 600,000 บาท* หรือกรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรับความคุ้มครองชีวิต 2 เท่า ของจำนวนเงินเอาประกันภัย หรือกรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุสาธารณะรับความคุ้มครองชีวิต 3 เท่า ของจำนวนเงินเอาประกันภัยและสามารถเบิกค่าธรรมเนียมแพทย์ผ่าตัดได้ตามจริง 100% ภายในวงเงินผลประโยชน์รวมถึงรับสิทธิ์ซื้อความคุ้มครองเพิ่มเติมความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลแบบผู้ป่วยนอก (OPD) ได้ตามจริง สูงสุด 2,000 บาท/วัน* ความคุ้มครองค่ารักษาทันตกรรมได้ตามจริง สูงสุด 5,000 บาท/ปีกรมธรรม์* ความคุ้มครองโรคร้ายแรง สูงสุด 600,000 บาท* และรับส่วนลดร้านค้าที่ร่วมรายการในโครงการ เมืองไทย Smile Plus โดยสามารถรับประกันได้ตั้งแต่อายุ 15 – 65 ปี บริบูรณ์ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเช่นเดียวกัน
นายสาระ กล่าวว่า จากการสำรวจตลาด ณ ปัจจุบัน พบว่ามีผลิตภัณฑ์สำหรับรองรับกลุ่มลูกค้าที่ประกอบธุรกิจประเภท SME ค่อนข้างหลากหลาย แต่จุดเด่นที่จะสามารถสร้างความแตกต่างได้อย่างชัดเจน คือ จำนวนพนักงานประจำขั้นต่ำขององค์กรนิติบุคคลที่จะสามารถขอรับบริการดังกล่าวได้ พบว่าจำนวนพนักงานขั้นต่ำในตลาดขณะนี้คือตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป เมืองไทยประกันชีวิตจึงได้เปิดตัวโครงการ‘เมืองไทย SME Smile’พร้อมชูจุดเด่น แม้พนักงานประจำมีจำนวนน้อย ‘3 คน ก็คุ้มครองได้’ (ตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป) เพื่อให้สามารถมีทางเลือกในการซื้อสวัสดิการแบบประกันกลุ่มให้กับพนักงาน รวมถึงคู่สมรสและบุตรของพนักงาน
โดยพัฒนาจากผลิตภัณฑ์เดิมในชื่อ โครงการ ‘SME Package’ ซึ่งเดิมองค์กรนิติบุคคลผู้ขอรับบริการจะต้องมีพนักงานตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป พร้อมกันนี้ ได้พัฒนาสิทธิประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับมูลค่าความเป็นจริงในปัจจุบัน และให้สอดรับกับความต้องการใช้งานของกลุ่มลูกค้ามากยิ่งขึ้น อาทิค่ารักษาพยาบาลกรณี OPD/วัน และเพิ่มเติมในส่วนของค่ารักษาทันตกรรม เป็นต้น
บริษัทได้นำเสนอ‘โครงการเมืองไทย SME Smile’ผ่านทุกช่องทางการขายของบริษัทฯ เช่น ช่องทางการขายตรงของประกันกลุ่ม (Direct), ช่องทางตัวแทน (Agency) ช่องทางบริษัทนายหน้า (Broker) และช่องทางธนาคาร (Bancassurance)เป็นต้น โดยมุ่งสู่กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ที่เป็นองค์กรนิติบุคคลขนาดเล็กและขนาดกลาง ที่มีพนักงานประจำตั้งแต่ 3 – 19 คน ประกอบธุรกิจที่มีความเสี่ยงไม่เกินระดับอาชีพชั้น 2 โดยพนักงานเป็นผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม และองค์กรไม่ได้มีกรมธรรม์ประกันกลุ่มที่ยังมีผลบังคับกับ บมจ. เมืองไทยประกันชีวิต
ทั้งนี้ สำหรับช่องทางBancassurance ที่จะนำเสนอผ่านธนาคารกสิกรไทย (K-Bank) นั้น เป็นแบบประกันที่ K-Bank สามารถนำเสนอให้เจ้าของกิจการที่มีความสนใจในการจัดสวัสดิการเพิ่มเติมให้กับลูกจ้าง ซึ่งนอกเหนือจากสวัสดิการพื้นฐานของภาครัฐ
นายสาระ กล่าวด้วยว่า บริษัท มีศักยภาพและความพร้อมสู่การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC)ในปี 58 โดยล่าสุดเปิดสำนักงานผู้แทน(Representative Office) อย่างเป็นทางการ ณ กรุงย่างกุ้งของเมียนมาร์ โดยเป็นผู้ประกอบการประกันชีวิตเจ้าแรกของไทยที่ได้รับอนุญาตให้เปิดสำนักงานผู้แทนในเมียนมาร์ ซึ่งเบื้องต้นจะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการให้ความร่วมมือ และการบริการข้อมูลความรู้เกี่ยวกับคุณค่าและประโยชน์ของการประกัน รวมถึงการวางโครงสร้างระบบ ประเภทของการประกันชีวิตและผลประโยชน์ตลอดจนกลยุทธ์เจาะลึกถึงการบริการต่างๆ แก่ประชาชนทั่วไป ผู้ประกอบการ รวมถึงหน่วยงานภาครัฐซึ่งนับเป็นการประชาสัมพันธ์การให้ประโยชน์ของการทำประกันชีวิตและสร้างความรู้จักกับแบรนด์เมืองไทยประกันชีวิตเพื่อให้เข้าไปยังจิตใจผู้บริโภคมากยิ่งขึ้นด้วย
ส่วนทิศทางธุรกิจในประเทศ ปีนี้นับเป็นอีกปีที่ธุรกิจประกันชีวิตไทยมีความคึกคักมากเป็นพิเศษเห็นได้จากตัวเลขเบี้ยประกันชีวิตรับรวมของทั้งอุตสากรรมณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2557อยู่ที่ 331,150 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นจากระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน 16%(ข้อมูลจากสมาคมประกันชีวิตไทย) ขณะที่ผลการดำเนินงานของบริษัทช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ สามารถทำเบี้ยรับรวมทั้งสิ้นอยู่ที่ 57,474 ล้านบาทเติบโตสูงถึง 27% จากช่วงเดียวกันของปีที่ก่อน และในปีนี้บริษัทจะยังคงเป้าหมายเดิม และมั่นใจว่าจะสามารถสร้างผลงานให้มีอัตราการเติบโตเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ โดยคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 15%
ผลงาน 8 เดือนที่ผ่านมา บริษัทมีเบี้ยประกันภัย 1.5 หมื่นล้านบาท เติบโตสูงถึง 50% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา และแม้ว่าในช่วงต้นปีจะมีการแข่งขันที่ค่อนข้างรุนแรงของเบี้ยประกันภัยรับใหม่แต่บริษัทยังสามารถอยู่ในอันดับที่ 1 ด้วยผลงานเบี้ย 2.5 หมื่นล้าน อัตราการเติบโต 35% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา