ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานได้ชี้แจงว่าขณะนี้ยังไม่ได้ถือว่ามีการให้สัมปทานแต่อย่างใด เป็นเพียงการเปิดให้ยื่นขอสิทธิในการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ซึ่งอย่างน้อยต้องใช้เวลาประมาณ 6 เดือนในการพิจารณา ซึ่งระหว่างนี้หากสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ด้านพลังงานมีข้อมูลใหม่ก็สามารถส่งมายังกระทรวงพลังงานหรือส่งให้รัฐบาลพิจารณาได้ ซึ่งหากเป็นข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ก็เชื่อว่ารัฐบาลพร้อมจะพิจารณา แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานความถูกต้องและความเป็นจริง
"การตัดสินใจจะให้สัมปทานหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของ ครม.จะเป็นผู้พิจารณา และกว่าจะพบแหล่งพลังงาน อาจต้องใช้เวลาถึง 8 ปี ประกอบกับกระทรวงพลังงานได้มีการประเมินว่า แหล่งพลังงงานสำรองที่กระทรวงพลังงานมั่นใจที่จะมีใช้อยู่ จะอยู่ได้ประมาณ 7 ปี จึงเป็นที่มาที่ต้องตัดสินใจเปิดรอบที่ 21...กระบวนการไม่ได้ถือว่าเร่งรีบแต่อย่างใด เพราะมีการเตรียมการมาตั้งแต่ปี 53 แต่ต้องยอมรับว่า ณ ช่วงเวลานั้นอาจติดขัดหรือมีการคัดค้าน จึงไม่สามารถดำเนินการได้" นายคุรุจิต กล่าว
จากข้อมูลของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ พบว่า ปัจจุบันประเทศมีการใช้ก๊าซธรรมชาติสูงถึง 5 พันล้าน ลบ.ฟ./วัน หากนับตั้งแต่ปี 25 ที่มีการเปิดให้สัมปทานครั้งแรกมีปริมาณการใช้พลังงาน 150 ล้าน ลบ.ฟ./วัน เห็นได้ชัดว่าแหล่งก๊าซมีความต้องการใช้มากยิ่งขึ้นและทุกแหล่งที่หามาก็มีแต่ลดลง จึงเป็นที่มาที่ต้องดำเนินการดังกล่าว
ส่วนข้อห่วงใยการเก็บผลประโยชน์เข้ารัฐนั้นที่มีความกังวลกันนั้น นายคุรุจิต ชี้แจงว่า ข้อเรียกร้องให้เปรียบเทียบระหว่างระบบสัมปทานปิโตรเลียม กับระบบแบ่งปันผลผลิตนั้น ทั้ง 2 ระบบไม่มีความแตกต่างกัน แต่ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและการออกแบบการเรียกรับผลประโยชน์ ซึ่งต้องยอมรับว่าการพิจารณาหาแหล่งก๊าซฯต้องดูในแง่ธรณีวิทยา ในไทยอาจไม่สมบูรณ์เทียบเท่าประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย จึงทำให้การที่จะขุดหลุมเจาะไม่เท่ากัน การจะเรียกเก็บอัตราภาษีที่สูงกว่าเดิมก็อาจจะสุ่มเสี่ยงที่อาจจะไม่มีใครมาขอรับสัมปทานเลยก็ได้
"ยืนยันว่าสิ่งที่รัฐบาลต้องการคือ ป้อนแหล่งพลังงานใช้ในประเทศมากกว่าความต้องการรายได้เข้ารัฐ แต่อย่างไรก็ตาม เงื่อนไข ผลประโยชน์ที่รัฐกำหนดได้ระบุชัดเจน" นายคุรุจิต กล่าว
นายคุรุจิต กล่าวต่อว่า ในส่วนที่มีการระบุว่าแหล่งสัมปทานอาจไปทับซ้อนเขตชายแดนไทย-กัมพูชานั้น ยืนยันว่าแหล่งที่มีการพุดถึงกันนั้น คือ แปลงสัมปทาน G1/57 ซึ่งไม่ได้ทับซ้อนเขตพื้นที่ไทย-กัมพูชาแต่อย่างใด อยู่ในเขตไหล่ทวีป ที่เป็นสิทธิอธิปไตยของไทย 100% และเป็นสิทธิที่ไทยสามารถบริหารจัดการได้ ส่วนกรณีที่มีความกังวลว่าการกำหนดพื้นที่สัมปทานในภาคอีสานจะกระทบต่อห่วงโซ่อาหารในธรรมชาตินั้น ยืนยันว่าไม่มีผลกระทบอย่างแน่นอน แต่กลับจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจในภาคอีสานด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าจะเจอแหล่งพลังงานมากน้อยเพียงใดจากการเปิดสัมปทานครั้งนี้ แต่ก็หวังว่าในพื้นที่ภาคอีสานจะพบแหล่งพลังงานที่สำคัญด้วย