ประกอบกับทางกองทุน SPDR ซึ่งเป็นกองทุนที่ถือครองทองคำมากที่สุดในโลกยังลดการถือครองทองคำลงต่ำสุดในรอบปีสู่ระดับ 745 ตันลดลง จากต้นปี 49 ตันยังเป็นปัจจัยกดดันต่อราคาทองคำเพิ่มเติม
ทั้งนี้ เศรษฐกิจของสหรัฐเริ่มมีการฟื้นตัวมากขึ้นจากยอดจ้างงานนอกภาคเกษตร โดยในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา ปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากยอดจ้างงานในเดือนสิงหาคม อีกทั้งอัตราว่างงานปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 6 ปีที่ 5.9% คอยหนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าเพิ่มเติมในปลายเดือนตุลาคม
“ราคาทองคำ ได้รับแรงกดดันจากตัวเลขเศรษฐกิจ ทั้งจากฝั่งยุโรป และสหรัฐ ซึ่งตัวเลขเศรษฐกิจของยุโรป เริ่มมีการชะลอตัวจากดัชนีภาคการผลิตที่เริ่มปรับตัวลง แตะระดับ 50.3 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 15 เดือน อีกทั้ง GDP ก็ขยายตัวลดลงในไตรมาส 2/57 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการขยายตัวต่ำสุดในรอบ 15 เดือน กดดันให้ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง และกดดันราคาทองคำ แต่ในขณะที่ค่าเงินดอลลาร์กับแข็งค่าขึ้นจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ปรับตัวดี" นายโสฬส กล่าว
นายโสฬส กล่าวต่อว่า การลงทุนในทองคำ ในช่วงปลายปีนี้ แนะนำ ให้ทยอยซื้อสะสม เพื่อลงทุนยาว โดยหลังจากข่าวเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เริ่มลดลง คาดว่าราคาทองคำ จะดีดตัวกลับขึ้นมาอีกครั้ง ในช่วงครึ่งปีหลัง 58 ดังนั้น จึงแนะนำให้หาจังหวะขายทำกำไร สำหรับนักลงทุนที่ถือครองทองคำอยู่
ส่วนนักลงทุนที่สนใจลงทุนระยะสั้น ยังเน้นไปที่สถานะขายเป็นหลัก เพราะในภาพระยะกลาง – ยาว ทองคำยังถูกกดดันจากเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด จากนี้ไปจนถึงปลายปีมองกรอบราคาทองคำที่ 1,108 -1,300 เหรียญต่อทรอยออนซ์