ขณะที่ การอ่อนค่าของเงินเยนอาจจะเกิดขึ้นเพียงระยะสั้น หลังจากที่ BOJ ได้ประกาศเพิ่มวงเงินในการอัดฉีดปริมาณเงินเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2014 ซึ่งอยู่เหนือความคาดหมายของตลาด ส่งผลให้ค่าเงินเยนอ่อนค่าลงทันทีถึง 2.8% มาอยู่ที่ 112 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม ปริมาณเงินที่อัดฉีดเพิ่มเติมนั้นไม่มากนักเมื่อเทียบกับมาตรการ QQE เดิม จึงไม่น่าจะกดดันให้เงินเยนอ่อนค่าได้มากนัก ดังนั้น หากค่าเงินเยนจะอ่อนค่าลงอีกจากระดับปัจจุบันจะต้องขึ้นอยู่กับว่า BOJ จะมีการออกมาตรการผ่อนคลายเพิ่มเติมที่เหนือความคาดหมายของตลาดอีกหรือไม่
ทางด้านผู้ส่งออกของไทยจะได้รับผลกระทบจากการอ่อนค่าของเงินเยนไม่มากนัก และจะได้ประโยชน์จากการผ่อนคลายของ BOJ ในระยะยาว สินค้าส่งออกหลักของไทยไปยังญี่ปุ่นคือ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และรถยนต์ ซึ่งมีการนำเข้าวัตถุดิบจากญี่ปุ่นเป็นสัดส่วนที่สูง ดังนั้น ถึงแม้ว่าค่าเงินเยนที่อ่อนค่าจะส่งผลให้ราคาสินค้าส่งออกของไทยไปยังญี่ปุ่นแพงขึ้น แต่การนำเข้าวัตถุดิบที่ถูกลงจะช่วยชดเชยรายได้จากการส่งออกที่ลดลงได้ นอกจากนี้การผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมของญี่ปุ่นเป็นไปเพื่อกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งออกของไทยในระยะยาว หลังจากที่เศรษฐกิจของญี่ปุ่นฟื้นตัวแล้ว