หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะต้องทยอยปรับเพิ่มขึ้นกลับสู่ภาวะปกติ เพื่อให้เหมาะสมต่อสภาพเศรษฐกิจและการเงิน ซึ่งเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มกลับมาขยายตัวได้ใกล้เคียงกับศักยภาพในปีหน้า ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อที่จะปรับตัวสูงขึ้นตามเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว รวมไปถึงความเสี่ยงด้านเงินทุนเคลื่อนย้ายและค่าเงินบาทจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า
ทั้งนี้ กนง. ประเมินว่านโยบายการเงินที่ผ่อนปรนในปัจจุบันไม่เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย แม้ว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3/57 อาจขยายตัวต่ำกว่าที่ กนง. ได้คาดไว้เดิม เนื่องจากการใช้จ่ายในประเทศรวมถึงการใช้จ่ายภาครัฐต่ำกว่าที่คาดและการส่งออกที่อ่อนแอ แต่ กนง. ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องในปีหน้าจากการส่งออกที่มีแนวโน้มขยายตัวสูงกว่าปีนี้และการลงทุนภาครัฐที่จะช่วยสนับสนุนการลงทุนภาคเอกชน ซึ่งอัตราดอกเบี้ยที่ 2.00% ในปัจจุบันนี้ กนง. มองว่าไม่เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและยังสามารถรักษาเสถียรภาพทางการเงินได้อย่างเหมาะสม
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในเดือนตุลาคมลดลงมาอยู่ในระดับ 1.5% ต่ำสุดในรอบ 1 ปี เนื่องจากราคาพลังงานที่ลดต่ำลง ในขณะเดียวกัน สถานการณ์เงินทุนเคลื่อนย้ายและอัตราแลกเปลี่ยนในปัจจุบันยังค่อนข้างมีเสถียรภาพถึงแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงของนโยบายการเงินค่อนข้างมากทั้งในสหรัฐฯ ยูโรโซน และญี่ปุ่น ในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้นอัตราดอกเบี้ยจึงยังสามารถอยู่ในระดับปัจจุบันได้โดยไม่บั่นทอนเสถียรภาพทางการเงิน
โดยในมุมมองของกนง. การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะขึ้นอยู่กับบทบาทของนโยบายการคลัง กนง.ประเมินว่าปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อภาพการฟื้นตัวดังกล่าวคือ ความรวดเร็วของการดำเนินโครงการลงทุนภาครัฐ ซึ่งอัตราการเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐในปีงบประมาณ 57 อยู่ที่ 65.8% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังที่ 71.9% สะท้อนว่านโยบายการคลังยังไม่สนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเท่าที่ควร