นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีปัญหาในเชิงโครงสร้างที่ยอมรับว่าแก้ไขได้ลำบาก โดยเฉพาะโครงสร้างแรงงาน ซึ่งมีแรงงานภาคเกษตรมากถึง 40% สูงกว่าประเทศจีน มาเลเซีย และอินโดนีเซียที่มีสัดส่วน 20-30% โดยหากแรงงานดังกล่าวมีการย้ายงานก็มักจะย้ายไปอยู่แรงงานภาคบริการมากกว่าไปอยู่แรงงานภาคอุตสาหกรรมที่จะเป็นภาคการผลิตที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ขณะเดียวกัน รัฐบาลกลับยังออกมาตรการที่สร้างแรงจูงใจให้แรงงานยังคงอยู่ในภาคเกษตรมากขึ้น ซึ่งจุดนี้ส่งผลให้เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไม่ขับเคลื่อนเท่าที่ควร
นายเศรษฐพุฒิ มองว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้คงเติบโตในระดับ 1.2% ขณะที่การส่งออกอาจจะแทบไม่เติบโตเลย ส่วนในปี 58 เศรษฐกิจไทยมีโอกาสจะโตได้มากกว่า 4% ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะฐานที่ต่ำในปีนี้ ขณะที่การส่งออกอาจจะยังเติบโตได้ไม่สูงนัก เนื่องจากอุปสงค์ของโลกในปีหน้ายังไม่สูง เศรษฐกิจโลกในภาพรวมยังเติบโตได้ไม่มาก ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นความท้าทายที่สำคัญของเศรษฐกิจไทย
อย่างไรก็ดี ในปีหน้าการที่เศรษฐกิจไทยจะมีโอกาสเติบโตได้มากกว่า 4% หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการใช้จ่ายและการทุนของภาครัฐเป็นสำคัญ รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่จะมาเป็นตัวช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอีกแรงหนึ่ง