SME Bank เผยผลดิวดิลิเจนส์มี NPL 32.92%-เงินสำรองเพียงพอ,ส่งแผนฟื้นฟูทันกำหนด

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday November 13, 2014 11:12 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางสาลินี วังตาล ประธานกรรมการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย(SME Bank) เปิดเผยว่า ตามที่ธนาคารได้รับคำสั่งจากคณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ(คนร.) ให้เร่งดำเนินการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน(Due Diligence) เพื่อนำผลตรวจสอบที่แล้วเสร็จมาประกอบจัดทำแผนแก้ไขปัญหาองค์กรที่เป็นรูปธรรม รวมถึงแนวทางป้องกันการเกิดปัญหาในอนาคต และให้นำเสนอคนร.ภายใน 2 เดือน หรือภายใน 30 พ.ย.57 นั้น

ธนาคารได้ว่าจ้างให้บริษัท อีวาย คอร์ปอเรท เซอร์วิสเซส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทสอบบัญชีระดับโลกให้เป็นผู้สอบทานความถูกต้องของเงินให้สินเชื่อตามระบบบัญชีที่ธนาคารบันทึกไว้ และความเพียงพอของเงินสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ โดยยึดถือยอดคงค้าง ณ วันที่ 30 มิ.ย.57 และได้นำส่งให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(สคร.) ไปแล้วเมื่อวันที่ 11 พ.ย.57 สรุปได้ว่า

1.เอสเอ็มอีแบงก์ มีสินเชื่อปกติ และสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL) ต่างจากที่บันทึกไว้ในระบบบัญชีของธนาคารเล็กน้อย คือ NPL ควรเพิ่มขึ้น 260 ล้านบาท ดังนั้น ณ 30 มิ.ย.57 ธนาคารจะมีสินเชื่อคุณภาพดี 52,928 ล้านบาท(60.08%) และสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ 35,167 ล้านบาท(32.92%)

2.เอสเอ็มอีแบงก์ จะต้องมีเงินสำรองพึงกันตามเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย 14,556 ล้านบาท แต่ธนาคารมีเงินสำรองอยู่จริง 14,937 ล้านบาท ดังนั้นจึงมีเงินสำรองส่วนเกินมากกว่าเงินสำรองพึงกันเป็นจำนวน 381 ล้านบาท เงินสำรองที่ธนาคารมีอยู่มีความเพียงพอตามเกณฑ์ที่แบงก์ชาติบังคับใช้กับธนาคารพาณิชย์ ซึ่งเข้มงวดกว่าเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังกำหนดให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ(SFI) ถือปฏิบัติ

เมื่อพิจารณารายละเอียดของการกันสำรองของธนาคารแล้ว บริษัทอีวายฯ มีความเห็นว่า สำรองพึงกันที่แท้จริงของธนาคาร ณ วันที่ 30 มิ.ย.57 ควรจะสูงกว่าจำนวนเงินสำรองพึงกันที่ธนาคารระบบไว้ 974 ล้านบาท โดยเกือบทั้งหมดมีสาเหตุจากข้อบกพร่องของหลักประกัน กล่าวคือ 1.ธนาคารไม่ได้ปรับปรุงราคาประเมินของหลักประกันทุกๆ 3 ปี ซึ่งตามเกณฑ์ของแบงก์ชาติจะไม่สามารถนำหลักประกันเหล่านั้นมาหักออกจากยอดหนี้ในการคำนวณเงินสำรองได้ 2.ธนาคารไม่ได้ให้บุคคลภายนอกประเมินราคาหลักประกันของ NPL ที่มียอดหนี้ระหว่าง 25-50 ล้านบาท จึงไม่สามารถนำหลักประกันมาหักออกยอดหนี้ในการกันสำรองได้ ซึ่งเรื่องนี้ข้อบังคับของกระทรวงการคลังกำหนดให้ SFI จ้างบุคคลภายนอกประเมินราคาหลักประกันของ NPL ที่มียอดหนี้ตั้งแต่ 50 ล้านบาทขึ้นไป

ประธานกรรมการเอสเอ็มอีแบงก์ กล่าวว่า ผลการสอบทานของบริษัท อีวายฯ ทำให้เชื่อมั่นได้ว่า ธนาคารมีเงินสำรองเพียงพอรองรับความเสียหายที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดสำหรับกิจการธนาคาร นอกเหนือจากผลการทำ Due Diligence แล้ว ธนาคารจะนำส่งแผนฟื้นฟูฉบับสมบูรณ์ที่เป็นรูปธรรมต่อ สคร.โดยเร็วต่อไป โดยมั่นใจว่าจะสามารถนำส่งได้ก่อนวันครบกำหนดที่ 30 พ.ย.57 และธนาคารจะเดินหน้าทำพันธกิจในการสนับสนุน SMEs โดยเฉพาะรายย่อยในต่างจังหวัดต่อไป


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ