"นโยบายรัฐบาลที่มีเงินลงไป น่าจะเกิน 4%(GDP) มั่นใจว่าไม่ต่ำกว่า 4% แน่นอน รวมทั้งมีเงินต่างประเทศที่จะเข้ามา น่าจะทำให้เกิน 5% ด้วยซ้ำ ถ้าได้การส่งออกมาช่วยด้วย" นายศุภชัย กล่าว
พร้อมระบุว่า การดำเนินนโยบายของรัฐบาลในขณะนี้ที่เริ่มนำเม็ดเงินไปใช้เพื่อการลงทุนนั้นจะมีผลชัดเจนในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ตั้งแต่กลางปีหน้าเป็นต้นไป เพราะมองว่าโครงการส่วนใหญ่เป็นโครงการระยะยาว เช่น ก่อสร้างถนน, สร้างทางรถไฟ ซึ่งน่าจะมีผลได้ตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปีหน้า
นายศุภชัย ยังเชื่อว่า การลงทุนของภาคเอกชนจะขยายตัวได้ดีขึ้น โดยน่าจะเติบโตในระดับ 3-5% ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ได้ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จของนโยบายรัฐบาล ทั้งนี้ในส่วนตัวมองว่าการที่รัฐบาลใช้เงินลงไปในระบบคงไม่น่าจะเป็นปัญหา แต่เกรงว่าจะทำอย่างไรที่โครงการรัฐบาลเหล่านี้จะมีผลในการช่วยเหลือภาคเอกชนได้ ซึ่งจุดนี้จะเป็นตัววัดความสำเร็จของนโยบายรัฐบาล
พร้อมกันนี้มองว่า ประเทศไทยโชคดีที่ได้รับความร่วมมือจากประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่นักธุรกิจยังมองประเทศไทยในภาพลักษณ์ที่ดี ดังนั้นจึงต้องการให้ประเทศไทยรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเหล่านี้ได้ ทั้งนี้เห็นว่าเศรษฐกิจของไทยเมื่อเทียบกับหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียแล้วเป็นรองจีนประเทศเดียวเท่านั้น ประกอบกับเมื่อมีการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) อย่างเต็มที่ในปีหน้า ก็จะมีส่วนช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจของไทยมากขึ้น และเชื่อว่าประเทศไทยมีความแข็งแกร่งมากที่สุดในกลุ่ม AEC
นายศุภชัย แนะว่า รัฐบาลไม่ควรจะเน้นทำการตลาดแต่ภายในประเทศเท่านั้น แต่ควรให้ความสำคัญกับตลาดต่างประเทศด้วย เพราะปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจของไทยด้อยลงไป คือเรื่องการส่งออก และอีกส่วนหนึ่งที่เห็นว่าไทยต้องพัฒนาคือ ภาคอุตสาหกรรม ที่ต้องเน้นการเพิ่มเติมเทคโนโลยีและแรงงานที่มีคุณภาพมากขึ้น ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการเพิ่มตลาดส่งออกได้