สำหรับปี 58 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้อย่างน้อย 4% เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากเม็ดเงินในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของรัฐ เช่น รถไฟรางคู่ และการเบิกจ่ายงบประมาณด้านต่างๆ มูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท ขณะที่การส่งออกคาดว่าจะขยายตัวได้ 4% ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยเสี่ยงที่จะกระทบเศรษฐกิจในปี 58 ยังคงเป็นเศรษฐกิจของยุโรปและญี่ปุ่นที่ยังไม่มีการฟื้นตัวตามที่คาดการณ์ไว้ ดังนั้นมองว่า ในปีหน้าการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) จะมีความซับซ้อนมากขึ้น ทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกจะต้องติดตามนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐอย่างใกล้ชิด เพื่อจะได้ปรับเปลี่ยนนโยบายทางการเงินให้มีความเหมาะสม
ส่วนการดำเนินนโยบายทางการเงินของไทยที่สามารถผ่อนคลายได้มากขึ้น หากเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/57 เติบโตต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ 2% นั้น มีโอกาสที่จะเห็นคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเดือน ธ.ค.นี้ จากปัจจุบันอยู่ที่ 2.00% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงนี้ ก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในราวกลางปี 58
นายเชาว์ กล่าวถึงการทำงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลว่า สามารถทำได้ตามโรดแมปที่วางไว้ โดยเฉพาะการเดินหน้าการเลือกตั้งในช่วงปลายปี 58 และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจะเห็นได้จากที่ภาครัฐมีข้อตกลงแบบรัฐต่อรัฐ(G to G) ระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลจีนในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
ด้านนายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ ผู้บริหารกลุ่มธุรกิจไพรเวทแบงค์ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ทิศทางการลงทุนในปี 58 ในภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวนี้ ธนาคารกสิกรไทยยังให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าพันธบัตรและดอกเบี้ยเงินฝาก โดยมีกลยุทธ์การลงทุนแบบผสมผสาน โดยให้น้ำหนักในหุ้นเป็นสัดส่วน 45-57% และส่วนที่เหลือจะลงทุนในตราสารหนี้ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ และทองคำ โดยคาดการณ์ผลตอบจากการลงทุนในไทยจะอยู่ที่ 6-8%
สำหรับผลตอบแทนจากการลงทุนในปี 58 คาดว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในสหรัฐฯ จะมีผลตอบแทน 7% ยุโรป 8-9% ส่วนการลงทุนในประเทศจีนคาดว่าจะมีผลตอบแทนที่ดี แต่ยังต้องติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนก่อนว่าจะช่วยให้เศรษฐกิจของจีนเติบโตได้มากเพียงใด
ขณะที่ผลตอบแทนจากการลงทุนในประเทศไทยปีนี้มีผลตอบแทนถึง 25% เนื่องจากฐานของผลตอบแทนในปีที่ผ่านมาค่อนข้างต่ำ ขณะที่ผลตอบแทนจากการลงทุนในสหรัฐฯ มีผลตอบแทนที่ 10% ยุโรป 6% และจีน 10%