(เพิ่มเติม) "ศุภชัย"คาด ศก.ไทยปีหน้าโต 4-5% เม็ดเงินรัฐบาลจะเริ่มเห็นผลกลางปีหน้า

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday November 13, 2014 17:48 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตเลขาธิการที่ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา(UNCTAD) มองว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 58 มีโอกาสเติบโตได้ 4-5% โดยดูจากนโยบายรัฐบาลที่ได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการใส่เม็ดเงินลงไปในระบบ ประกอบกับพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโตได้ 1% จึงคาดว่าปีหน้าเศรษฐกิจไทยมีโอกาสโตได้ 4-5% อยู่แล้ว นอกจากนี้หากได้เรื่องการส่งออกเข้ามาช่วยอีกแรงอาจจะมีโอกาสโตเกินได้ 5%
"นโยบายรัฐบาลที่มีเงินลงไป น่าจะเกิน 4%(GDP) มั่นใจว่าไม่ต่ำกว่า 4% แน่นอน รวมทั้งมีเงินต่างประเทศที่จะเข้ามา น่าจะทำให้เกิน 5% ด้วยซ้ำ ถ้าได้การส่งออกมาช่วยด้วย" นายศุภชัย กล่าว

พร้อมระบุว่า การดำเนินนโยบายของรัฐบาลในขณะนี้ที่เริ่มนำเม็ดเงินไปใช้เพื่อการลงทุนนั้นจะมีผลชัดเจนในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ตั้งแต่กลางปีหน้าเป็นต้นไป เพราะมองว่าโครงการส่วนใหญ่เป็นโครงการระยะยาว เช่น ก่อสร้างถนน, สร้างทางรถไฟ ซึ่งน่าจะมีผลได้ตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปีหน้า

นายศุภชัย ยังเชื่อว่า การลงทุนของภาคเอกชนจะขยายตัวได้ดีขึ้น โดยน่าจะเติบโตในระดับ 3-5% ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ได้ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จของนโยบายรัฐบาล ทั้งนี้ในส่วนตัวมองว่าการที่รัฐบาลใช้เงินลงไปในระบบคงไม่น่าจะเป็นปัญหา แต่เกรงว่าจะทำอย่างไรที่โครงการรัฐบาลเหล่านี้จะมีผลในการช่วยเหลือภาคเอกชนได้ ซึ่งจุดนี้จะเป็นตัววัดความสำเร็จของนโยบายรัฐบาล

พร้อมกันนี้มองว่า ประเทศไทยโชคดีที่ได้รับความร่วมมือจากประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่นักธุรกิจยังมองประเทศไทยในภาพลักษณ์ที่ดี ดังนั้นจึงต้องการให้ประเทศไทยรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเหล่านี้ได้ ทั้งนี้เห็นว่าเศรษฐกิจของไทยเมื่อเทียบกับหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียแล้วเป็นรองจีนประเทศเดียวเท่านั้น ประกอบกับเมื่อมีการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) อย่างเต็มที่ในปีหน้า ก็จะมีส่วนช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจของไทยมากขึ้น และเชื่อว่าประเทศไทยมีความแข็งแกร่งมากที่สุดในกลุ่ม AEC

นายศุภชัย แนะว่า รัฐบาลไม่ควรจะเน้นทำการตลาดแต่ภายในประเทศเท่านั้น แต่ควรให้ความสำคัญกับตลาดต่างประเทศด้วย เพราะปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจของไทยด้อยลงไป คือเรื่องการส่งออก และอีกส่วนหนึ่งที่เห็นว่าไทยต้องพัฒนาคือ ภาคอุตสาหกรรม ที่ต้องเน้นการเพิ่มเติมเทคโนโลยีและแรงงานที่มีคุณภาพมากขึ้น ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการเพิ่มตลาดส่งออกได้

นายศุภชัย ยังได้กล่าวปาฐกถาภาพรวมเศรษฐกิจและการลงทุนในปี 2015 ในงานสัมมนา "TMB WORLD WIDE WEALTH : ECONOMIC SEE THROUGH 2015" ด้วยว่า การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) ในปีหน้าถือเป็นโอกาสที่ดีที่มีส่วนช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทย เพราะไทยถือเป็นศูนย์กลางของอาเซียนที่เชื่อมโยงไปประเทศจีน แต่รัฐบาลต้องกำหนดทิศทางนโยบายที่จะเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านให้เป็นรูปธรรม ซีงการทำสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานหรือการสร้างถนนถือเป็นพื้นฐานที่ควรมีอยู่แล้ว

พร้อมทั้งแนะว่าเมื่อเกิดการรวมกลุ่มเป็น AEC ทำให้เศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียนเกิดการขยายตัว จึงควรร่วมมือกันเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองทางการค้าเพื่อไปแข่งขันกับตลาดอื่น เช่น จีน หรืออินเดีย เป็นต้น

ส่วนการเปิดเขตเศรษฐกิจตามแนวชายแดนนั้น นายศุภชัย ถือว่า มีส่วนช่วยเศรษฐกิจไทย แต่จำเป็นที่รัฐบาลต้องทำให้เกิดความโปร่งใส เพราะมูลค่าการซื้อขายตามแนวชายแดนมีตัวเลขที่สูง แต่ต้องมีการเปิดเผยตัวเลขการค้า เพื่อป้องกันการทุจริตคอรัปชั่นด้วย

นายศุภชัย ระบุว่า ในปีหน้ารัฐบาลควรมีการส่งเสริมการท่องเที่ยวให้มากยิ่งขึ้น นอกเหนือจากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย เพราะมองว่าการท่องเที่ยวถือเป็นรายได้หลักของประเทศ แต่ต้องปรับเปลี่ยนนโยบายการท่องเที่ยว โดยลดการโปรโมทหรือโฆษณาที่เชิญชวนให้ชาวต่างชาติมาท่องเที่ยวในประเทศ เพราะเชื่อว่านักท่องเที่ยวไม่ว่าจะเป็นยุโรปหรือจีนรู้จักประเทศไทยเป็นอย่างดี แต่ควรปรับปรุงการบริหารจัดการภายใน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนามาตรฐานโรงแรมที่พัก และสถานที่ท่องเที่ยว รวมไปถึงการสร้างความไว้วางใจของนักท่องเที่ยว ซึ่งหากแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดจะมีส่วนช่วยต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวและเม็ดเงินสามารถลงไปถึงรากหญ้าได้โดยตรง

พร้อมมองว่า ระบบการเงินการคลังของไทยยังเป็นพื้นฐานที่ดีของประเทศ แต่ยังเป็นเรื่องยากที่ปีหน้าจะพึ่งพาการส่งออก เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังคงไม่ฟื้นตัว แต่ควรปรับโครงสร้างภายในพัฒนาความสามารถทางการแข่งขันและยกระดับอุตสาหกรรมที่สำคัญ เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ พลังงานสะอาด ไบโอพลาสติก และเฮลท์แคร์ เป็นต้น

สำหรับค่าเงินบาทของไทยนั้น ประเมินว่า ในระยะยาวเงินบาทจะแข็งค่าเข้าสู่จุดเดิม คือ ระดับต่ำกว่า 30 บาท/ดอลลาร์ พร้อมประเมินว่าค่าเงินเอเชียยังอยู่ในช่วงผันผวน เงินดอลลาร์อาจจะแข็งค่าขึ้น ส่วนเงินหยวนน่าจะปรับขึ้นด้วย

นายศุภชัย ได้ประเมินภาพรวมเศรษฐกิจโลกว่ายังไม่เกิดการฟื้นตัว เนื่องจากการลงทุนของโลกในช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมา มูลค่าการลงทุนยังไม่เท่าช่วงก่อนปี 2007-2008 ที่มีการลงทุนถึง 2 พันล้านล้านดอลลาร์ รวมถึงการค้าโลกขยายตัวต่ำกว่าอัตราขยายตัวของโลก ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจในกลุ่มยุโรปก็ยังไม่ฟื้นตัวซึ่งมีโอกาสซบเซาเป็น 10 ปี แม้ว่าปีหน้าจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจในยุโรปก็ตาม


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ