เมื่อเทียบกับปี 2556 ที่มีหน่วยเปิดใหม่ 131,645 หน่วย ที่มูลค่า 385,447 ล้านบาท จะพบว่าในปี 2557 ทั้งปีนี้จะมีหน่วยขายเปิดลดลงประมาณ 20% และมูลค่าการพัฒนาลดลงประมาณ 17% ซึ่งถือว่าดีกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ ณ กลางปี 2557 ที่คาดว่าตลอดปี 2557 นี้หน่วยขายเปิดใหม่จะลดลงประมาณ 24% และมูลค่าการพัฒนาลดลงประมาณ 28% แสดงว่าสถานการณ์หลังความวุ่นวายทางการเมืองในครึ่งหลังปี 2557 ดีชึ้นกว่าครึ่งปีแรก
ส่วนที่มีการระบุว่า ในปีหน้าจะเป็นปีทองของอสังหาริมทรัพย์ที่จะเติบโตดีที่สุดในรอบ 16-20 ปี โดยมีปัจจัยบวกมาจากการก่อสร้างรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่คาดว่าจะแล้วเสร็จปีหน้าหลายสาย ทำให้กำลังซื้อของประชาชนสูงขึ้น และการเปิดเออีซีนั้น มีข้อเห็นแย้ง คือ 1.ที่ว่ารถไฟฟ้าที่จะเสร็จในปี 2558 นั้น อาจยังไม่แล้วเสร็จ เนื่องจากความล่าช้าหรือแม้สร้างเสร็จแล้ว ที่ผ่านมาก็เปิดวิ่งไม่ได้ ทำให้ไม่เกิดผลชัดเจน 2.การเสร็จของรถไฟฟ้า ไม่ได้ทำให้กำลังซื้อของประชาชนสูงขึ้นแต่อย่างใด 3.การเปิดเออีซีก็จะเริ่มในปี 2559 ไม่ได้ส่งผลในช่วงปี 2558 แต่อย่างใด
"อสังหาริมทรัพย์ปี 2558 น่าจะดีกว่าปี 2557 เพราะหมดปัจจัยทางการเมือง อาจกล่าวได้ว่าการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ผ่านมาทำลายเศรษฐกิจย่อยยับไปถึง 420,000 ล้านบาท" นายโสภณ ระบุ
ทั้งนี้ คำนวณจากว่ารายได้ประชาชาติของไทยเท่ากับ 12 ล้านล้านบาท ในปี 2557 ซึ่งควรจะเติบโตราว 5% เช่นเดียวกับประเทศอื่นในอาเซียน แต่กลับลดลงเหลือ 1.5% เพราะการที่ประเทศไทยเราไม่อาจรอมชอมกันได้ ไม่สามารถตกลงในแนวทางสันติวิธีด้วยการเลือกตั้งได้เช่นทั่วโลก และมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยไร้ขื่อแปยาวนานถึง 8 เดือน ดังนั้นเศรษฐกิจจึงทรุด การทรุดลงไปถึง 3.5% (5% ที่คาดหวัง ลบด้วย 1.5% ที่ประมาณการสำหรับปีนี้) ของ 12 ล้านล้านบาท จึงเท่ากับเงินหายไปจากระบบประมาณ 420,000 ล้านบาท ทำให้กำลังซื้อหดตัวลง ข้อดีคือไม่เกิดฟองสบู่ ส่วนข้อเสียคือกำลังซื้อฝืดลง การวางแผนทางการเงินและการขายของผู้ประกอบการพัฒนาที่ดินต้องเพิ่มความระมัดระวัง เพราะมีความเสี่ยงในการขายช้าลงกว่าแต่กว่า
อาจกล่าวได้ว่าในปี 2558 แม้น่าจะเติบโตกว่าปี 2557 แต่ก็ยังไม่เกิดฟองสบู่ แต่มีข้อเตือนภัยสำคัญ คือ 1. การประกาศกฎอัยการศึก ทำให้นักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเข้ามาประเทศไทยน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด แม้จะมีบางฝ่ายอ้างว่าการมีกฎอัยการศึก ทำให้เกิดความปลอดภัยมากขึ้น แต่ก็อาจไม่จริง ยังมีการข่มขืน ภาคใต้ประกาศกฎอัยการศึกมานาน ก็ยังไม่สงบ ที่สำคัญนักท่องเที่ยวย่อมตระหนักดีว่า หากประเทศสงบจริง จะคงกฎอัยการศึกไว้ทำไม ด้วยกฎอัยการศึกนี้จึงทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวในรอบ 8 เดือนแรกของปี 2557 ลดลงถึง 16% หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป จำนวนนักท่องเที่ยวคงหายไป 4 ล้านคน และในความเป็นจริงควรเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 2 ล้านคน ดังนั้นก็เท่ากับนักท่องเที่ยวหายไป 6 ล้านคน ทำให้รายได้จากการท่องเที่ยวหดตัวเป็นอย่างหนัก โดยคนหนึ่งใช้เงินเพื่อการท่องเที่ยว 40,000 บาท ก็เท่ากับเงินหายไป 240,000 ล้านบาท
2. หนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้นมาก ทำให้โอกาสการลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์จะลดลง กำลังซื้อที่คาดว่าจะมีก็อาจ "เหือดหาย" ไปในปี 2558 ก็ได้ บริษัทพัฒนาที่ดินขนาดใหญ่ที่คาดการณ์ว่าจะเปิดตัวโครงการมากมายในปี 2558 อาจ "ผิดแผน" และต้องปรับตัวใหม่ก็ได้
3. การส่งออกคงไม่เจริญเติบโต ทำให้เศรษฐกิจไม่มีเงินหมุนเวียนจากต่างประเทศ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจก็จะยิ่งหดตัวลง ประเทศจะเจริญได้ต้องอาศัยการส่งออก ไม่ใช่อาศัยนโยบาย "อัฐยายซื้อขนมยาย" อย่างเด็ดขาด การส่งเสริมการใช้จ่ายภายในประเทศเป็นเพียงนโยบายชั่วคราวแบบ "ไฟไหม้ฟาง"
4. การอำนวยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ซึ่งในปัจจุบันแข่งขันกันปล่อยกู้กันอย่างมาก สถาบันการเงินหลายแห่งให้กู้สูงถึง 100% หรือ 110% ของมูลค่าตลาด ซึ่งหากเกิดวิกฤติเงินฝืดขึ้นมา ก็อาจทำให้สถาบันการเงินล้มลงเช่นในยุคก่อนได้
5. ยิ่งกว่านั้นหากเกิดความไม่สงบรอบใหม่เพราะรัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้อย่างได้ผลชะงัด จริงตามที่อาสามาทำงาน ก็จะทำให้เกิดความไม่มั่นคงและความเปราะบางทางเศรษฐกิจ การวางแผนการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการวางแผนการซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย การลงทุนจึงต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ
นายโสภณ กล่าวว่าถึงสถานการณ์สินเชื่อที่อยู่อาศัยและแนวโน้ม พบว่าในรอบ 20 ปี สินเชื่อที่อยู่อาศัยทั่วไปคงเหลือมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง20ปี (2537-2556) สินเชื่อที่อยู่อาศัยทั่วไปคงเหลือของสถาบันการเงินทั้งระบบมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดโดยในปี 2537 มีจำนวนกว่า 4.4 แสนล้านบาทในปี 2547 เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 1 ล้านล้านบาทต่อมาในปี 2554 ได้เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 2 ล้านล้านบาท และในปี 2556 มีจำนวนกว่า 2.5 ล้านล้านบาท
สินเชื่อที่อยู่อาศัยทั่วไปคงเหลือ ณ ไตรมาส 2 ปี 2557 มีจำนวนกว่า 2.6ล้านล้านบาท ณ ไตรมาส 2 ของปี 2557 สินเชื่อที่อยู่อาศัยทั่วไปคงเหลือของสถาบันการเงินทั้งระบบมีจำนวนทั้งสิ้น 2,675,537 ล้านบาทในจำนวนนี้เป็นของธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งจำนวน 1,579,602 ล้านบาทในขณะที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์มีจำนวน 753,202ล้าบาท
สำหรับภาพรวมสินเชื่อที่อยู่อาศัยทั่วไปปล่อยใหม่ในรอบ 20 ปี สถาบันการเงินทั้งระบบปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยใหม่กว่า 3.6 ล้านล้านบาท ในช่วง 20 ปี (2537-2556) สถาบันการเงินทั้งระบบได้มีการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยทั่วไปปล่อยใหม่จำนวนกว่า 3.6 ล้านล้านบาทโดยในช่วงปี 2538-2551 มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยทั่วไปปล่อยใหม่เฉลี่ยกว่า 2 แสนล้านบาทต่อปีจนกระทั่งในปี 2552-2554 ได้เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 3 แสนล้านบาทต่อปี ปี 2555 ได้เพิ่มเป็นกว่า 4 แสนล้านบาท และในปี 2556 ได้เพิ่มขึ้นทะลุกว่า5แสนล้านบาทซึ่งถือว่ามีการขยายตัวที่สูงเป็นประวัติการณ์
สินเชื่อที่อยู่อาศัยทั่วไปปล่อยใหม่ครึ่งแรกปี 2557 มีจำนวนกว่า 2.6 แสนล้านบาท คาดทั้งปีมีจำนวนกว่า 5 แสนล้านบาท ในครึ่งแรกของปี 2557 สถาบันการเงินทั้งระบบได้มีการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยใหม่จำนวน 260,494 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2556 ซึ่งมีจำนวน 248,962 ล้านบาทร้อยละ 4.6 ในจำนวนนี้เป็นของธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งจำนวน 151,684 ล้านบาท ในขณะที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์สามารถปล่อยได้จำนวน 65,589 ล้านบาท สำหรับในปี 2557 ทั้งปีคาดว่าสถาบันการเงินทั้งระบบจะสามารถปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยใหม่ได้จำนวนกว่า 5 แสนล้านบาทใกล้เคียงกับปี 2556
สำหรับด้านกลยุทธ์นั้น กลยุทธ์การตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยปี 2557 ธนาคารเกือบทุกแห่ง ยังคงเข้ามาแข่งขันในตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เพราะแต่ละสถาบันการเงินต้องการเร่งยอดปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยให้ได้ตามเป้าหมาย หลังจากในไตรมาสแรกได้รับผลกระทบจากปัญหาทางการเมือง โดยมีการปรับกลยุทธ์หันไปขยายตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่แถวภาคอีสานตามหัวเมืองขนาดใหญ่ โดยใช้กลยุทธ์ทำการตลาดและเสนอโปรโมชั่น ร่วมกับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ เน้นขยายฐานกลุ่มข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ รวมถึงกลุ่มพนักงานของบริษัทขนาดใหญ่ที่มีเงินเดือนผ่านธนาคาร เพื่อต่อยอดไปสู่ผลิตภัณฑ์ทางการเงินประเภทอื่นๆ โดยเสนอขายแบบไขว้ผลิตภัณฑ์(Cross Sale)มากขึ้น ทั้งสินเชื่อบ้าน สินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อรถยนต์ เป็นต้น และมุ่งปรับปรุงระบบการอนุมัติสินเชื่อให้เร็วขึ้น นอกจากนี้ยังมีแคมเปญโปรโมชั่นสินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ย 0% ตามงานมหกรรมต่างๆ ด้วย
"การแข่งขันที่เดือดหนักเช่นนี้จะสร้างความเปราะบางแก่ระบบเศรษฐกิจเช่นกัน ทั้งนี้ในขณะนี้การอำนวยสินเชื่อของสถาบันการเงินที่ในปัจจุบันแข่งขันกันปล่อยกู้กันอย่างมาก สถาบันการเงินหลายแห่งให้กู้สูงถึง 100% หรือ 110% ของมูลค่าตลาด ซึ่งหากเกิดวิกฤติเงินฝืดขึ้นมาก็อาจทำให้สถาบันการเงินล้มลงเช่นในยุคก่อนได้ ผู้จะซื้อบ้าน นักลงทุน สถาบันการเงิน ตลอดจนธนาคารแห่งประเทศไทยและรัฐบาลจึงต้องพยายามประคับประคอบระบบสินเชื่อที่อยู่อาศัยให้ดีเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศไทยต่อไป" นายโสภณ ระบุ