โดยเบื้องต้นจะเสนอให้กระทรวงการคลังช่วยเหลือแก้ปัญหาภาระหนี้สะสมกว่าแสนล้านบาทของร.ฟ.ท. โดยภาระหนี้สินประมาณ 5 หมื่นล้านบาทนั้น อาจจะใช้วิธีให้คลังจัดหาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้ หรือโอนทรัพย์สินบางส่วนของร.ฟ.ท.ที่มีมูลค่าเท่ากับหนี้สินให้คลัง หรือ ร.ฟ.ท.กับคลังใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินร่วมกัน โดยให้เป็นรูปแบบการเช่าใช้ นอกจากนี้ยังมีภาระบำนาญและผลขาดทุนจากการดำเนินงานอีกส่วนหนึ่ง
ทั้งนี้ ประเมินว่า หากสามารถแก้ปัญหาหนี้สินได้ประมาณ 7 หมื่นล้านบาท และลดภาระดอกเบี้ยและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ โดยเน้นการเพิ่มรายได้ด้านโลจิสติกส์ การขนส่งสินค้า พัฒนาบุคลากร และปรับปรุงระบบการซ่อมบำรุง ใช้เทคโนโลยีเข้ามาข่วยในอนาคต และการก่อสร้างรถไฟทางคู่ขนาดราง 1 เมตรทยอยแล้วเสร็จ และมีรถไฟทางคู่ขนาดทางมาตรฐาน 1.435 เมตรตามแผน จะสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้บริการในเรื่องความปลอดภัยและตรงต่อเวลา ซึ่งจะทำให้ร.ฟ.ท.จะมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษีและค่าเสื่อมราคา (Ebitda) หลังปี 2562 ประมาณ 137 ล้านบาท และในปีต่อไปจะมีกำไรสุทธิ
"ร.ฟ.ท.ต้องพัฒนาขีดความสามารถคนในองค์กร ต้องปรับโครงสร้างองค์กร เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ โดยเฉพาะการขนส่งสินค้าต้องเพิ่มสัดส่วนให้มากขึ้น ต้องกำหนดตัวชี้วัด(KPI) ด้านเวลาการขนส่ง เพื่อความแน่นอน หากไม่ได้ตาม KPI ต้องมีการปรับ ซึ่งในปี 58 ร.ฟ.ท.จะร่วมมือกับเอกชนในการบริการขนส่งสินค้าให้เป็นแบบครบวงจร Door to Door ซึ่งจะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ส่วนผู้โดยสารจะเน้นเรื่องความสะดวก ซึ่งจะมอบเป็นของขวัญปีใหม่ 58 รถชั้น 3 ห้องน้ำจะเป็นระบบปิด มีตู้คนพิการ ขึ้นลงสะดวก มีประกันภัยบุคคลที่ 3"รมว.คมนาคมกล่าว
พร้อมระบุว่า ได้ให้ร.ฟ.ท.เร่งศึกษาความชัดเจนใน 4 ประเด็น เพื่อประกอบในแผนฟื้นฟูคือ 1.การบริการรถไฟฟรี ว่ากลุ่มใดควรได้รับบริการฟรีต่อไป กลุ่มใดควรต้องรับภาระจ่ายค่าบริการบางส่วน เพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นจริงและลดภาระขาดทุนของร.ฟ.ท.ลง 2. ศึกษาการเชื่อมต่อระบบระหว่างรถไฟขนาด 1 เมตร กับขนาด 1.435 เมตร ว่าในอนาคตในช่วงรอยต่อจะมีการเดินรถอย่างไร จะใช้เทคโนโลยีเข้ามาบริหารจัดการอย่างไร หรือจะแยกเป็น 2 ระบบ 3. ให้สำรวจที่ดินเพื่อจัดทำรายละเอียดมูลค่าทรัพย์สินที่มี และแนวทางการบริหารเพื่อเพิ่มรายได้ โดยจะแยกได้ว่าที่ดินแปลงใด มีมูลค่าเท่าไร มีแผนการบริหารอย่างไร ปัจจุบันใครเป็นผู้ใช้ประโยชน์ 4. ภาระหนี้สินในแต่ละส่วน
ส่วนปัญหาจุดตัดรถไฟเร่งด่วน 584 แห่งนั้น เร็วๆ นี้จะมีการหารือร่วมกันระหว่างร.ฟ.ท.กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อทำความเข้าใจถึงแนวทางแก้ปัญหา และความรับผิดชอบในแต่ละหน่วยงาน เพื่อดำเนินการแก้ไขโดยการจัดทำเครื่องกั้น ระบบสัญญาณเตือนให้ครบทั้ง 584 แห่ง ภายในปลายปี 59 โดยหลักการจะใช้งบประมาณทั้งของคมนาคมและท้องถิ่นร่วมกัน ตามความเหมาะสม โดยใน 584 แห่ง จะมี 50% ที่ต้องใช้เครื่องกั้นอัตโนมัติค่าก่อสร้างประมาณ 4 ล้านบาทต่อแห่ง ส่วนอีกประมาณ 50% จะใช้ระบบเตือน เช่น ลูกระนาด, ป้าย ,สัญญาณเตือน ค่าก่อสร้างเฉลี่ย 1 แสน-1.6 ล้านบาทต่อแห่ง