โดยก่อนหน้านี้ได้ไปเจรจากับ บลจ.ไนพาณิชย์ และ บลจ.กสิกรไทยแล้ว แต่ยังไม่ได้รับคำตอบ และสัปดาห์หน้าจะไปหารือกับบลจ.กรุงศรีอยุธยา และบลจ.แลนด์แอนด์เฮ้าส์ เป็นลำดับต่อไป ซึ่งคาดว่าน่าจะมีคนสนใจร่วมแผนจัดตั้งกองทุนฯ อย่างน้อย 1 ราย และน่าจะเริ่มจัดตั้งกองทุนยางเฉพาะกิจเป็นรูปธรรมได้ในช่วงไตรมาส 1/58
นายวิวัฒน์ คาดว่าทิศทางราคายางในปีหน้าจะเป็นขาขึ้น เนื่องจากมองว่าราคายางได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว โดยคาดว่าราคายางในปีหน้าจะไม่ต่ำกว่า 60บาท/กก. โดยมีปัจจัยหนุนคือ 1.ประเทศจีนอัดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ทำให้เชื่อว่าความต้องการใช้ยางจากจีนน่าจะเริ่มกลับมาแล้ว 2.บีโอไอทยอยอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนอีกจำนวนมาก ล่าสุดมีโครงการที่เกี่ยวข้องกับรถอีโคคาร์อีกหลายหมื่นล้านบาท 3.มีการส่งเสริมให้เพิ่มปริมาณการใช้ยางในประเทศให้มากขึ้นจาก 10-14% ของปริมาณผลผลิตยางทั้งประเทศเป็น 20%
"ผมว่าราคายางผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว จากนี้น่าจะเริ่มปรับตัวดีขึ้น คาดว่าราคาปี 58 ไม่น่าจะต่ำกว่า 60บาท/กก." นายวิวัฒน์ กล่าวระหว่างการศึกษาดูงานตลาดกลางยางพารา ที่ จ.นครศรีธรรมราช
ด้านนางอธิวีณ์ แดงกนิษฐ์ เศรษฐกรชำนาญการ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานตลาดกลางยางพารานครศรีธรรมราช กล่าวถึงตลาดกลางยางพารานครศรีธรรมราชว่า รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เห็นชอบแผนพัฒนาโครงสร้างระบบตลาดยางพาราด้วยงบประมาณ 1,300 ล้านบาท โดยเบื้องต้นจะให้งบ 62.1 ล้านบาทแก่ตลาดกลางยางพารานครศรีธรรมราชเพื่อนำไปใช้ขยายก่อสร้างโกดังเพื่อรองรับปริมาณยางพาราที่รับซื้อจากเกษตรกรได้มากขึ้น ถือเป็นโครงการนำร่อง ก่อนจะขยายไปสู่ตลาดกลางหลักในแห่งอื่นๆ ของประเทศไทยภายในปี 2560
"เป้าหมายโครงการนี้ คือพัฒนาตลาดกลางยางพาราของไทยให้เกิดความเข้มแข็ง ไม่ให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบเกษตรกร เนื่องจากเกษตรกรนำยางมาขายให้ตลาดกลางจะได้ราคาสูงกว่านำไปขายให้พ่อค้าหรือตลาดทั่วไป เช่น ที่ตลาดกลางนครศรีฯจะรับซื้อยางในราคาสูงกว่าราคาที่นำไปขายให้ตลาดทั่วไปประมาณ 2.19 บาท/กก. ทำให้เกษตรกรพึงพอใจ จนปัจจุบันมีเกษตรกรนำยางมาขายให้ตลาดกลางนครศรีฯ ถึงวันละ 200-400 ตัน" นางอธิวีณ์ กล่าว
เงื่อนไขของผู้ที่จะนำยางมาขายให้ตลาดกลางนครฯ ได้นั้น จะต้องเป็นสมาชิกของสมาคมยางพาราไทย และจะต้องมีการลงทะเบียนสมัครเป็นผู้ขายยางให้กับทางตลาดในครั้งแรก โดยยื่นเอกสารบัตรประชาชน และหน้าสมุดบัญชีธนาคารก็จะได้เป็นสมาชิกผู้ขายยางตลอดชีพ ซึ่งปัจจุบันตลาดกลางยางนครศรีธรรมราชมีสมาชิกเกือบ 4,500 ราย
นอกจากนี้ รัฐบาลปัจจุบันยังอนุมัติการจัดตั้งกองทุนมูลภัณฑ์กันชน (Buffer Fund) มูลค่า 2 หมื่นล้านบาทให้องค์การสวนยาง(อสย.)เข้ามาร่วมประมูลซื้อยางจากตลาดกลางฯ เพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางอีกทางหนึ่ง โดยเบื้องต้นธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธกส.) ได้อนุมัติเงินก้อนแรก 6 พันล้านบาทมาแล้ว และอสย.ก็เริ่มเข้ามาประมูลซื้อยางตั้งแต่ 6 พ.ย.จนถึงปัจจุบัน รวมแล้ว 5-6 ครั้ง แต่ละครั้งสามารถประมูลยางไปได้กว่า 300 ตัน