ทั้งนี้ สศอ. ได้เสนอ 3 แนวทางการดำเนินการแก้ไขปัญหาวิกฤตราคายางพาราตกต่ำและพัฒนาอุตสาหกรรมระยะยาวของยางพาราไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย การแก้ปัญหาวัตถุดิบล้นตลาด การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และ การพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราทั้งระบบ เพื่อให้เกิดสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานยางพาราในตลาด ทำให้ราคาลดความผันผวนและมีเสถียรภาพมากขึ้น โดยมาตรการต่างๆ ดังกล่าว จะทำให้สามารถเพิ่มปริมารการใช้ยางพาราในประเทศประมาณ 5 แสนล้านตันและเพิ่มผลิตภาพของอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยาง เช่น ถุงมือยาง ยางล้อ ยางยืดอีกด้วย
มาตรการแรก ได้แก่ การแก้ปัญหาวัตถุดิบล้นตลาด จัดทำโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการยาง วงเงิน 10,000 ล้านบาท จากในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2557 – เมษายน 2558 เป็นช่วงที่ผลผลิตยางพาราออกสู่ตลาดมาก จึงอาจส่งผลกระทบให้ราคายางลดต่ำลง
ดังนั้น กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้ดำเนินโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการยางวงเงิน 10,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบผลิตภัณฑ์ยางขั้นกลาง โดยสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยผ่อนปรน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการแปรรูปน้ำยางข้นใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการซื้อยางส่วนเกินออกจากระบบ ในช่วงต้นฤดูที่ผลผลิตออกสู่ตลาด มาก โดยอัตราดอกเบี้ย ผู้กู้จะชำระดอกเบี้ยเท่ากับอัตรา 2 % โดยรัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ยให้ 3 % ซึ่งการใช้เงินลงทุน 10,000 ล้านบาท ตามโครงการฯ คาดว่าจะทำให้สามารถดูดซับปริมาณยางที่จะเข้าสู่ระบบ ได้ประมาณ 200,000 ตัน ซึ่งจะส่งผลให้ราคายางเพิ่มขึ้นทันที ประมาณ 2-3 บาท/กิโลกรัม และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเป้าหมายคือ 66 บาท/กิโลกรัม ซึ่งส่งผลให้เกษตรกรชาวสวนยางมีความเป็นอยู่ดีขึ้น
มาตรการที่สอง การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต โดยมี การส่งเสริมให้มีการเพิ่มใช้ยางพาราในประเทศ ซึ่งเป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ยาง โดยการดำเนินโครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ยางเพื่อขยายกำลังการผลิต/ปรับเปลี่ยนเครื่องจักรการผลิต วงเงิน 15,000 ล้านบาท ซึ่งหน่วยงานรับผิดชอบ คือ กระทรวงอุตสาหกรรมและธนาคารออมสิน โดยธนาคารออมสินจะพิจารณาความคุณสมบัติเบื้องต้นของผู้ประกอบการแต่ละราย และจะส่งให้กระทรวงอุตสาหกรรมโดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม พิจารณาและรับรองความเหมาะสมของเครื่องจักรที่ใช้ในโครงการนี้ เพื่อประกอบการอนุมัติสินเชื่อของธนาคารออมสิน ซึ่งจะช่วยให้ดูดซับยางพารางได้ 300,000 ตัน
และมาตรการสุดท้าย การพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราทั้งระบบ คือ การส่งเสริมการพัฒนามาตรฐานผลิตภัณฑ์ยาง ตามที่ในปัจจุบันผลิตภัณฑ์ยางของไทยยังขาดมาตรฐานในการทดสอบผลิตภัณฑ์ ทำให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพไม่ได้มาตรฐานสากล อีกทั้งในปัจจุบันประเทศที่มีอำนาจต่อรองสูง ได้ใช้มาตรการที่ไม่ใช่ภาษีต่างๆ เป็นเงื่อนไขในการกีดกันทางการค้า เช่น กำหนดเงื่อนไขด้านมาตรฐานสินค้า มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัย เป็นต้น ดังนั้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ประกอบการไทยจะต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพสินค้า ยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์และการผลิตให้สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล รวมถึงต้องมีการสนับสนุนให้มีการเร่งกำหนดมาตรฐานและทดสอบผลิตภัณฑ์ และมีการยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์และการผลิต เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ยางให้สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล
นายอุดม กล่าวต่อว่า การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมยาง คือ ส่งเสริมการลงทุนใหม่ในอุตสาหกรรมแปรรูปขั้นต้น กลางน้ำ ปลายน้ำ และเร่งผลักดัน การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมยางพารา ภายใต้แนวคิดโครงการเมืองยาง (Rubber City) ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมยางพาราในนิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ จังหวัดสงขลา ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้มอบหมายให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รับผิดชอบดำเนินการจัดตั้งและพัฒนานิคมอุตสาหกรรมยางพารา ในนิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ จังหวัดสงขลา พื้นที่ประมาณ 1,197 ไร่ โดยปัจจุบันอยู่ในระหว่างการศึกษาความเหมาะสมและออกแบบนิคมอุตสาหกรรมยางพารา ซึ่งระยะเวลาในการดำเนินการศึกษาฯ จะเสร็จประมาณเดือนพฤษภาคม 2558
และการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา มีการดำเนินการสนับสนุนการพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการและหน่วยงานวิจัยโดยการดำเนินโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางและไม้ยางพาราภายใต้เครือข่ายความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการและหน่วยงานวิจัย มาตั้งแต่ปี 2556-2557 โดยเครือข่ายฯ ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางในการประสานความร่วมมือระหว่างภาคอุตสาหกรรม สถาบันการศึกษาหรือสถาบันวิจัย และหน่วยงานให้ทุนวิจัย เพื่อให้เกิดงานวิจัยที่สนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางจะส่งผลให้เกิดการสร้างสรรค์งานวิจัยที่ตรงกับความต้องการของตลาดและนำไป ใช้ได้ในเชิงพาณิชย์ โดยในปัจจุบันมีผู้เข้าร่วมเป็นสมาชิกเครือข่ายซึ่งประกอบด้วย ผู้ประกอบการ นักวิจัย สถาบันการศึกษา ประมาณ 173 ราย