เรื่องแนวโน้มเศรษฐกิจโลก นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ท่ามกลางความไม่แน่นอนในสภาวะเศรษฐกิจโลกปัจจุบัน แนวโน้มสำหรับเอเชียยังคงเป็นไปในทางที่ดี ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชียได้คาดการณ์ตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจเอเชียสำหรับปี 2014 และ 2015 ไว้ที่ 6.2% และ 6.4% ตามลำดับ โดยในส่วนของเอเชียตะวันออกคาดว่าจะเติบโต 6.7% ในปี 2014 และ 2015 ถือได้ว่าในภาพรวมแล้วเอเชีย-แปซิฟิกจะยังมีการเติบโตต่อเนื่อง
โดยประมาณการดังกล่าวสอดคล้องกับตัวเลขธนาคารโลกที่คาดการณ์ว่า กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกจะเติบโตร้อยละ 6.9 ในปีนี้และปีหน้า แม้ว่าจะลดลงจากปี 2556 ซึ่งเติบโตร้อยละ 7.2 ทั้งนี้กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกก็ยังคงมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลก
อย่างไรก็ตาม ทุกฝ่ายมิอาจจะนิ่งนอนใจ เพราะในเอเชียเองยังมีปัจจัยเสี่ยงที่กระทบต่อเศรษฐกิจของภูมิภาค ได้แก่ ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก การขึ้นลงของราคาน้ำมัน ราคาสินค้าเกษตรชะลอตัว ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มสูงขึ้น การลงทุนของรัฐที่ไม่เพียงพอต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภาระหนี้สินของครัวเรือน รวมถึงการค้าโลกที่ขยายตัวได้ในระดับต่ำและผลกระทบจากภัยธรรมชาติ การก่อการร้าย และโรคระบาดร้ายแรง เช่น อีโบลา
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องคำนึงถึง อาทิ การเข้าสู่สังคมคนชราในหลายๆประเทศ ซึ่งภาครัฐต้องจัดสรรงบประมาณเพื่อใช้สำหรับการบริหารจัดการ ขณะที่ประชากรวัยทำงานมีจำนวนลดน้อยลง ทำให้ฐานภาษีลดขนาดลง จำกัดความสามารถของรัฐในด้านงบประมาณและผลกระทบต่อภาคการผลิต เนื่องจากค่าแรงเพิ่มสูงขึ้น และเกิดภาวะขาดแคลนแรงงาน
ดังนั้น เอเชียควรเร่งดำเนินมาตรการเพื่อสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งให้กับภาคเศรษฐกิจ โดยใช้ประโยชน์จากศักยภาพของภูมิภาคให้เต็มที่ เช่น การส่งเสริมความเชื่อมโยง การบูรณาการทางเศรษฐกิจ การส่งเสริมการค้าเสรีและขจัดอุปสรรคด้านการค้าและการลงทุน การใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติอย่างมีคุณค่าและสมประโยชน์
นอกจากนี้ ยังควรส่งเสริมความร่วมมือในสาขาที่เป็นจุดแข็งของแต่ละประเทศ โดยในส่วนของเกาหลีใต้ ได้แก่ การศึกษา ICT SMEs อุตสาหกรรมสร้างสรรค์และบันเทิง พลังงานสะอาดและพลังงานทางเลือก การเติบโตสีเขียว การลดก๊าซเรือนกระจก การปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยน แปลงของสภาพภูมิอากาศ และการจัดการป่าไม้ที่ยั่งยืน เป็นต้น
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในปี 2015 อาเซียนจะเป็นประชาคมที่เป็นทั้งตลาดและฐานการผลิตเดียวกัน ซึ่งจะสร้างโอกาสใหม่ๆมากมายทางธุรกิจและการลงทุน จึงขอเชิญชวนภาคธุรกิจของเกาหลีใต้ให้ใช้ประโยชน์จากประชาคมอาเซียนอย่างเต็มที่ในสาขา ดังนี้
1.ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ดังปรากฏว่า เกาหลีใต้ประสบความสำเร็จในการพัฒนาประเทศอย่างก้าวกระโดด จนกระทั่งกลายเป็นประเทศที่มีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจชั้นแนวหน้าของโลก ผลิตภัณฑ์มากมายของเกาหลีใต้ได้รับการยอมรับในคุณภาพและได้รับความนิยมสูงในตลาดโลก ดังนั้นไทยและอาเซียนจึงสนับสนุนการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และองค์ความรู้ของเกาหลีใต้ในด้านนี้ ตลอดจนต้องการให้เกาหลีใต้ขยายการลงทุนด้าน IT ICT อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ และอื่น ๆ ในอาเซียนให้มากขึ้น ทั้งการลงทุนขนาดใหญ่และ SMEs
2.ด้านพลังงานทดแทน อาเซียนสามารถใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของเกาหลีใต้ในเรื่องเทคโนโลยีพลังงานทดแทน และแนวปฏิบัติอันเป็นเลิศเกี่ยวกับการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อตอบ สนองความต้องการด้านพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง เรายังสามารถร่วมมือกันสร้างศูนย์กลาง ซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG Trading Hub) เพื่อสนับสนุนการสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน และเพิ่มอำนาจต่อรองในตลาดโลก
3.ด้านการเกษตร เพราะเป็นภาคเศรษฐกิจพื้นฐานที่สำคัญของอาเซียน และเกี่ยวข้องกับประชากร 17 ล้านคนของไทย หรือ 43% ของแรงงานทั้งหมด นายกรัฐมนตรีจึงขอเชิญชวนให้นักธุรกิจเกาหลีใต้และอาเซียน เข้ามาร่วมลงทุนในอุตสาหกรรมมูลค่าเพิ่มสำหรับภาคเกษตร ซึ่งนอกจากจะใช้ศักยภาพทางเกษตรกรรมและอาหารของภูมิภาคแล้ว ยังช่วยกระจายรายได้ไปสู่เกษตรกรอย่างทั่วถึง และช่วยลดความเหลื่อมล้ ทางสังคมได้อีกทางหนึ่งด้วย
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ความเติบโตทางเศรษฐกิจจะต้องอาศัยบทบาทของภาคธุรกิจเอกชนเป็นส่วนใหญ่ รัฐบาลมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการกำหนดนโยบายที่สร้างบรรยากาศที่เอื้ออำนวยต่อการค้าและการลงทุน ที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อมุ่งไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง
ในส่วนของประเทศไทย รัฐบาลได้ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาห่วงโซ่มูลค่า ตั้งแต่ SMEs จนถึงกิจการขนาดใหญ่ ทั้งในไทยและประเทศเพื่อนบ้าน จึงพยายามปรับแก้กฎระเบียบเพื่อให้เอื้อต่อการประกอบธุรกิจของภาคเอกชน ล่าสุด คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติมาตรการส่งเสริมการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ภูมิภาค และบริษัทการค้าระหว่างประเทศ รวมถึงการปรับแก้กฎหมายด้านภาษี และขั้นตอนการขออนุญาตเข้ามาทำงานของชาวต่างชาติ
รัฐบาลไทยยังได้ประกาศให้ SMEs เป็นวาระแห่งชาติ พร้อมกับกำหนดแผนการปฏิรูปกลไกและหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่อง SMEs ให้รองรับนโยบาย ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้กับ SMEs ไทย และหวังว่าไทยจะสามารถเรียนรู้จากเกาหลีใต้ซึ่งมีภาค SMEs ที่เข้มแข็งได้ ทั้งนี้ หนึ่งในนโยบายเศรษฐกิจระยะยาวของไทย นอกเหนือไปจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแล้ว ยังมีเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิตอล ซึ่งเกาหลีใต้เป็นต้นแบบของการใช้ ICT เป็นตัวขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ซึ่งครอบคลุมการปฏิรูปกระบวนการผลิต การประกอบธุรกิจการค้า การลงทุน การบริการ และการศึกษา ไทยจึงหวังว่า ภาคเอกชนของเกาหลีใต้จะเข้ามาลงทุน หรือร่วมทุนในด้านต่างๆ ที่จะช่วยเร่งให้ไทยและอาเซียนใช้ระบบเศรษฐกิจดิจิตอลอย่างเต็มรูปแบบ
นอกจากนี้ ไทยให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว เพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน เกาหลีใต้ซึ่งมีความก้าวหน้าสูงในด้านนี้ จึงอยู่ในฐานะที่จะให้การสนับสนุนซึ่งกันและกันได้ ไทยต้องการเห็นการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นลำดับแรก โดยเฉพาะที่มาพร้อมกับการถ่ายทอดเทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา และการพัฒนาศักยภาพ ทั้งในเรื่องของทักษะฝีมือแรงงาน และการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ครั้งที่ 9 ที่กรุงเนปิดอว์ เมื่อเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ประธานธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย ได้กล่าวถึงหัวใจสำคัญของการสร้างความเจริญเติบโตที่ยั่งยืนและสมดุลของเอเชีย ซึ่งก็คือการลงทุนในด้านโครงสร้างพื้นฐานและการส่งเสริมความร่วมมือในภูมิภาค ไทยมีแผนยุทธศาสตร์พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระยะ 8 ปีข้างหน้า ซึ่งเน้นการพัฒนาโครงข่ายคมนาคม 5 ด้าน ได้แก่ โครงข่ายรถไฟระหว่างเมือง โครงข่ายขนส่งสาธารณะเพื่อแก้ไขปัญหาจราจร โครงข่ายทางหลวงเพื่อเชื่อมโยงฐานการผลิตที่สำคัญและเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน โครงข่าย การขนส่งทางน้ำ และการพัฒนาขีดความสามารถในการขนส่งทางอากาศ โดยที่เกาหลีใต้มีศักยภาพสูงด้านการสร้างความเป็นหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) ในโครงการด้านการพัฒนาที่มีมูลค่าสูง จึงน่าจะเป็นประโยชน์ร่วมกันหากภาคเอกชนเกาหลีใต้จะเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในไทยและในภูมิภาค รวมทั้งการนำเสนอแนวคิดใหม่ ๆ ในเรื่องการพัฒนาความเชื่อมโยงในภูมิภาค แนวทางการระดมเงินทุน การแบ่งปันเทคโนโลยี องค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญ และแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีตระหนักดีว่าการจะให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนนั้น ต้องคำนึงถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจหรือ ผลประโยชน์ในเชิงธุรกิจด้วย ดังนั้น รัฐบาลจึงผลักดันนโยบายพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดน ใน 5 จังหวัดชายแดน ภายใต้แนวคิด “เส้นเขตแดนเป็นเส้นแห่งความร่วมมือ" ในทุกมิติ โดยเฉพาะตามแนวระเบียงเศรษฐกิจต่าง ๆ ทั้งแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก และตอนใต้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพเชิงพาณิชย์ให้แก่พื้นที่ตามแนวชายแดน กระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค สนับสนุนการพัฒนาประเทศทั้งของไทยและประเทศเพื่อนบ้าน และนำไปสู่การต่อยอดเพื่อเชื่อมโยงเข้ากับภูมิภาคอื่น ๆ เช่น เอเชียใต้ โดยผ่านถนนสามฝ่ายไทย-เมียนมาร์-อินเดีย
รัฐบาลไทยมีทีมเศรษฐกิจขนาดใหญ่ พร้อมที่จะดูแลปัญหาของนักลงทุนและภาคเอกชนในทุก ๆ ด้าน และจะดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว สำหรับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดนนี้ จะได้เร่งรัดดำเนินการให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรม เพื่อให้มีการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งด้านการค้า การลงทุน บริการ และสถานประกอบการรูปแบบต่าง ๆ โดยจะให้สิทธิประโยชน์แก่นักลงทุน การให้บริการแบบเบ็ดเสร็จที่จุดเดียว การใช้แรงงานต่างด้าวเพื่อลดต้นทุนการผลิต การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและด่านศุลกากร เพื่ออำนวยความสะดวกและรองรับกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นในเขตเศรษฐกิจพิเศษนี้
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อนาคตที่กำลังเกิดขึ้นทั้งในไทยและในภูมิภาค ทำให้เชื่อมั่นว่า ยังมีศักยภาพอยู่อีกมากที่อาเซียนกับเกาหลีใต้ รวมทั้งระหว่างไทยกับเกาหลีใต้จะร่วมมือกันเพื่อบรรลุเป้าหมายต่างๆ ที่มีร่วมกัน และเชื่อว่าอาเซียนและเกาหลีใต้ จะทำหน้าที่สำคัญในการขับเคลื่อนหัวรถจักรแห่งเอเชีย ในการเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจและการพัฒนาของภูมิภาคและของโลก