Econthai มอง GDP ปี 58 โต 4-4.5% น้ำมันลง-ท่องเที่ยวหนุน ชดเชยส่งออก

ข่าวเศรษฐกิจ Monday December 15, 2014 16:15 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย(Econthai) ได้จัดทำแบบสำรวจเกี่ยวกับแนวโน้มผลประกอบการปี 2557 และความเชื่อมั่นทางธุรกิจรวมทั้งการจ้างงานปี 2558 พบว่า แนวโน้มยอดขายและผลประกอบการปี 2557 (ภาพรวม) พบว่าผู้ประกอบการซึ่งส่วนใหญ่เป็นเอสเอ็มอียอดขายลดลงกว่าปี 2556 คิดเป็นร้อยละ 34.5 ขณะที่ธุรกิจที่มีผลประกอบการดีขึ้นคิดเป็นร้อยละ 30.6 และใกล้เคียงกับปี 2556 คิดเป็นร้อยละ 29.4 อย่างไรก็ตามผลกระทบทางเศรษฐกิจผู้ประกอบการซึ่งขายสินค้าในประเทศเป็นหลักได้รับผลกระทบจากยอดขายลดลงร้อยละ 38.9 และผู้ประกอบการส่งออกได้รับผลกระทบยอดขายลดลงต่ำกว่าปี 2556 คิดเป็นร้อยละ 30.8

สำหรับความเชื่อมั่นธุรกิจในปี 2558 (ภาพรวม) ของผู้ประกอบการในต่างจังหวัดส่วนใหญ่ร้อยละ 51 เห็นว่าใกล้เคียงปี 2557 สำหรับผู้ประกอบการร้อยละ 9.4 เห็นว่าแนวโน้มของธุรกิจอาจจะทรุดตัวลงกว่าที่เป็นอยู่และผู้ประกอบการที่มีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจปี 2558 จะดีกว่าปีที่ผ่านมาคิดเป็นร้อยละ 40 แต่ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการที่ขายสินค้าในประเทศร้อยละ 40 ยังไม่ค่อยเชื่อมั่นว่าธุรกิจจะดีขึ้น อีกทั้งผู้ประกอบการร้อยละ 10 เห็นว่าธุรกิจจะมียอดขายและหรือผลประกอบการต่ำกว่าปีที่แล้ว สำหรับผู้ประกอบการส่งออกร้อยละ 50 เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจโลกจะมีแนวโน้มฟื้นตัวและยอดขายดีขึ้น มีเพียงร้อยละ 7.7 ที่ยังเห็นว่าการประกอบการธุรกิจจะแย่ลงไปกว่าเดิม อย่างไรก็ตามผู้ส่งออกร้อยละ 42.3 ยังไม่ค่อยมั่นใจว่าธุรกิจจะดีขึ้นและเห็นว่าผลการดำเนินงานอาจใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา

แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2558 จะเติบโตได้จากการลงทุนภาครัฐ ซึงคาดว่าจะใช้เงิน 3.63 แสนล้านบาท โดยในไตรมาสแรกรัฐบาลจะใช้จ่ายในงบลงทุนประมาณ 1.4 แสนล้าน ซึ่งจะทำให้การลงทุนภาครัฐขยายตัวได้ร้อยละ 9.8 จากที่ติดลบในปี 2557 ร้อยละ -5.0

การลงทุนเอกชนและการบริโภคมีแนวโน้มที่ดีขึ้น คาดว่าขยายตัวได้ร้อยละ 4.8 จากที่ขยายตัวติดลบในปี 2557 ร้อยละ -1.0 ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญของเศรษฐกิจไทยในปีหน้าอยู่ที่การใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ ซึ่งรัฐบาลในช่วงปลายปีได้ใช้งบคงเหลือจากงบไทยเข้มแข็ง งบกระตุ้นการจ้างงาน งบช่วยชาวสวนยางและชาวนา รวมกันประมาณ 9.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งน่าจะส่งผลต่อการกระตุ้นการบริโภคให้กลับมาขยายตัวโดยคาดว่าการบริโภคภาคเอกชนในปี 2558 จะขยายตัวได้ร้อยละ 2.6 จากที่ขยายตัวได้ร้อยละ 1.8-2.0 ในปีที่แล้วและการบริโภคภาครัฐปี 2558 จะขยายตัวได้ร้อยละ 5.6 จากที่ขยายตัวในปี 2557 ร้อยละ 3.6

การฟื้นตัวของเศรษฐกิจต้องพึ่งพาต่อภาคส่งออก ในปี 2558 มีปัจจัยเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะจากสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น โดยเฉพาะจีน เศรษฐกิจอาจขยายตัวต่ำสุดในรอบ 10 ปี อย่างไรก็ตามกระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าการส่งออกในปี 2558 จะขยายตัวได้ร้อยละ 4.0 จากที่ขยายตัวในปี 2557 ร้อยละ 0.5-0.7 และการนำเข้าในปี 2558 จะขยายตัวร้อยละ 5.0 จากที่ขยายตัวติดลบร้อยละ -6.5 สำหรับผู้ส่งออกรวมทั้งผู้นำเข้าจะต้องมีการติดตามการผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งคาดว่าในช่วงไตรมาสแรกตลาดการเงินจะได้รับอิทธิพลจากเงินทุนเคลื่อนย้ายโดยเฉพาะกรณีของยุโรปซึ่งธนาคารกลาง (ECB) อาจมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการออกมาตรการ QE ในการซื้อพันธบัตรในตลาดรอง (คล้ายกับที่สหรัฐฯเคยทำ) ซึ่งจะทำให้เงินยูโรอาจอ่อนค่าและมีเงินไหลออก แต่เงินบาทของไทยในช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างมีเสถียรภาพ ในช่วง 3 เดือนเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 32.76 บาทต่อเหรียญสหรัฐ

เศรษฐกิจไทยต้องพึ่งพาการบริโภคภายในประเทศ การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในปี 2558 อาจพึ่งพาการส่งออกไม่ได้มากนักเพราะยังมีปัจจัยความเสี่ยงจากการฟื้นตัวของประเทศคู่ค้า จำเป็นที่จะต้องพึ่งพาการบริโภคภายในประเทศซึ่งขึ้นอยู่กับการผลักดันงบกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลให้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้จริงตามเป้าหมายโดยเฉพาะการแก้ปัญหาสินค้าเกษตรตกต่ำทั้งข้าว ยางพารา อ้อย มันสำปะหลัง รวมทั้งปัญหาหนี้สินครัวเรือนซึ่งอยู่ในอัตราที่สูงและเป็นปัจจัยบั่นทอนอำนาจซื้อของประชาชนและจะส่งผลต่อการบริโภคภายในประเทศให้มีการฟื้นตัว

ทั้งนี้แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2558 มีโอกาสฟื้นตัวจากปัจจัยเกื้อหนุนจากภาคการท่องเที่ยวในซึ่งมีแนวโน้มที่จะกลับมาฟื้นตัวเป็นบวกจากการที่การเมืองนิ่งและประเทศไทยไม่ได้ถูกแบล็คลิสจากต่างชาติ ทำให้การท่องเที่ยวมีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้ดีขึ้น โดยคาดว่ามีนักท่องเที่ยวประมาณ 30 ล้านคน ขยายตัวได้ร้อยละ 5.0 และมีเม็ดเงินเข้าประเทศ 1.4 ล้านล้านบาท หากรวมการท่องเที่ยวในประเทศจะมีเงินเข้ามาในระบบประมาณ 2.0 ล้านล้านบาท อีกทั้งราคาน้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มราคาลดลงจากการแข่งขันของผู้ส่งออกน้ำมันทั้งทางกลุ่มประเทศโอเปคและสหรัฐอเมริกาซึ่งกลับมาเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลกซึ่งจะส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและการบริโภคภายในประเทศ ทั้งหมดอาจเป็นปัจจัยทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจของไทยในปี 2558 ขยายตัวได้ร้อยละ 4-4.5 ขณะที่ปี 2557 ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ไม่เกินร้อยละ 1.0 อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจไทยน่าจะผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว เพียงแต่การฟื้นตัวจะมีความรวดเร็วเพียงใด จำเป็นที่จะต้องอาศัยหลายปัจจัยโดยเฉพาะการฟื้นตัวของภาคเอกชนเป็นสำคัญ

ทั้งนี้ ทางสภาองค์การนายจ้างฯ ได้เสนอแนะต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่

1.การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ได้แก่ รัฐบาลต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบแพคเกจ เพื่อเพิ่มอำนาจซื้อให้กับประชาชนโดยต้องมีโครงการระยะสั้นให้เม็ดเงินลงสู่ประชาชนโดยเร็ว เช่น คูปองซื้อสินค้าอุปโภค-บริโภค โครงการนำเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่ามาแลกซื้อสินค้าใหม่ โครงการจ้างงานระยะสั้นในชนบท โครงการเพิ่มผลิตภาพแรงงานในสถานประกอบการ ฯลฯ, การเร่งเบิกจ่ายเงินชดเชยเกษตรกร ทั้งชาวนาและชาวสวนยาง ซึ่งรัฐบาลมีเงินช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาทแต่ไม่เกิน 15 ไร่ ยังมีเกษตรกรจำนวนมากยังไม่ได้รับเงิน โดยต้องเร่งพิจารณาผ่อนผันเกษตรกรซึ่งที่ดินทำกินมานานแต่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ ไม่สามารถได้รับเงินช่วยเหลือ และการเร่งเบิกจ่ายเงินงบประมาณ รวมทั้งเงินลงทุนของรัฐซึ่งได้จัดสรรงบประมาณให้หน่วยงานของรัฐในต่างจังหวัดเร่งเบิกจ่ายเพื่อให้เกิดการจัดซื้อ-จัดจ้างโดยเฉพาะโครงการก่อสร้างต่างๆ

2.เร่งรัดการส่งออก การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยอยู่ที่การฟื้นตัวของภาคเอกชน จำเป็นที่จะต้องผลักดันด้านการตลาดอย่างเป็นระบบโดยร่วมมือกับสมาคมที่เกี่ยวข้องต่างๆ ขณะเดียวกันควรร่วมมือกับสมาคมธนาคารให้มีการแพคกิ้งเครดิตและการให้เครดิตกับลูกค้า ผู้สั่งซื้อสินค้า เพื่อเป็นการเพิ่มอุปสงค์

3.การแก้ปัญหาสินค้าเกษตรตกต่ำ โดยเฉพาะยางพารา ข้าว อ้อย ผลไม้บางประเภทซึ่งราคาตกต่ำอย่างรุนแรง รัฐบาลควรหามาตรการต่างๆในการพยุงราคา เช่น กองทุนมูลภัณฑ์กันชนยางพารา(Buffer Fund) ในการรับซื้อผลผลิตการเกษตรในราคาที่สูงกว่าเอกชน, การตั้งคณะกรรมการร่วมรัฐ เอกชน ในการแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำเป็นรายสินค้า โดยให้เป็นการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับด้านเกษตรทั้งรัฐ เอกชน และองค์กรเกษตรกร

4.การแก้ปัญหาสภาพคล่องและหนี้ครัวเรือน ทั้งในภาคผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและภาคประชาชนซึ่งเป็นปัจจัยบั่นทอนอำนาจซื้อให้กลับคืนมา เช่น การแก้ปัญหาสภาพคล่องในสถานประกอบการ โดยเฉพาะเอสเอ็มอีซึ่งธนาคารของรัฐและสมาคมธนาคารควรร่วมกันในการจัดโครงการกู้ระยะสั้นไม่เกิน 2 ปี โดยผู้ประกอบการสามารถนำโครงการหรือสัญญาซื้อ-ขายเป็นหลักประกัน และการแก้หนี้ครัวเรือน โดยธนาคารออมสินและสมาคมธนาคารควรจัดให้มีโครงการผ่อนปรนระยะเวลาชำระหนี้ของลูกค้าที่ไม่ติด NPL โดยสามารถให้พักชำระหนี้จ่ายเพียงเงินต้นระยะเวลา 6 เดือน การยืดขยายงวดการชำระหนี้ของหนี้จากการกู้เงินผ่อนบ้านหรือผ่อนรถ ซึ่งได้ชำระหนี้ 1 ใน 4, ลูกค้าที่มีประวัติการชำระหนี้ดีควรให้มีการพิจารณาให้กู้เงินเพิ่ม เนื่องจากหนี้เหล่านี้มีหลักประกันเต็มจำนวนอยู่แล้วซึ่งจะช่วยลดการกู้เงินนอกระบบซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยที่สูง

5.ให้คงอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในปี 2558 รัฐบาลควรมีนโยบายตรึงราคาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำให้อยู่ในอัตราปัจจุบัน เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อของประเทศอยู่ในอัตราต่ำ หากมีการปรับค่าจ้างจะมีการกระทบเป็นลูกโซ่มีผลต่อการฟื้นตัวของภาคธุรกิจ

6. การปฏิรูปโครงสร้างแรงงานทั้งระบบ เช่น การแก้ปัญหาแรงงานพื้นฐานขาดแคลน รัฐบาลจะต้องมีนโยบายแรงงานต่างด้าวที่ชัดเจน โดยเฉพาะหลังการให้แรงงานต่างด้าวมารายงานตัวและการทำบัตรสีชมพูซึ่งสิ้นสุดลงในปลายปี 2558 หลังจากนั้นรัฐบาลจะมีมาตรการอย่างไรในการแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน, กองทุนส่งแรงงานต่างด้าวกลับบ้าน เพื่อไปทำพาสปอร์ตหรือต่ออายุวีซ่า ปัจจุบันรัฐบาลได้ยกเลิกเงินเก็บนายจ้างรายละ 1,000 บาท แต่แรงงานในพื้นที่แจ้งว่ายังไม่มีกฎกระทรวงรองรับ ทำให้ยังคงมีการเก็บเงินและการออกใบเสร็จรับเงินของหน่วยราชการล่าช้าและไม่ทราบว่าเงินเหล่านี้ไปอยู่ที่ใด, ควรพิจารณาการผ่อนผันแรงงานต่างด้าวในอุตสาหกรรมที่ได้รับการส่งเสริมบีโอไอ แรงงานพื้นฐานมีการขาดแคลนควรผ่อนผันให้อุตสาหกรรมที่ได้รับการส่งเสริมทั้งรายที่ได้รับอยู่แล้วกับรายใหม่ให้สามารถใช้แรงงานต่างด้าวในสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของแรงงานทั้งหมด,

การกำหนดนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าวในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งรัฐบาลกำลังส่งเสริมแต่ประเทศไทยขาดแรงงานจึงควรพิจารณาการใช้แรงงานต่างด้าวที่จะต้องมีความพิเศษแตกต่างกับพื้นที่อื่น, ขอให้มีฐานข้อมูลความต้องการแรงงานในแต่ละจังหวัด เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการแก้ปัญหารวมทั้งการผลิตบุคลากรให้ตรงกับความต้องการ, การแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานช่างฝีมือในระยะเฉพาะหน้า ควรให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงานรับผู้จบปริญญาตรีหรือ ปวส.ซึ่งยังว่างงานจำนวนมากให้รับการฝึกอบรมงานช่างฝีมือซึ่งไม่ต้องใช้ทักษะสูงระยะเวลาอบรมประมาณ 1 ปี เพื่อผู้ประกอบการสามารถนำไปใช้งานได้ ส่วนระยะต่อไปจะต้องสร้างแรงจูงใจด้วยการมีค่าตอบแทนคุณวุฒิ มาตรฐาน วิชาชีพอาชีวะรายสาขา โดยให้มีค่าจ้างไม่น้อยกว่าผู้สำเร็จปริญญาตรีรวมทั้งการให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนที่จะเข้าศึกษาสายอาชีวะ

7.ควรมีการปรับปรุงด้านประกันสังคม ควรให้ประกันสังคมเข้าถึงยา และระบบการรักษาซึ่งมีคุณภาพ ควรส่งเสริมให้มีโรงพยาบาลหรือคลินิกเอกชนในต่างจังหวัดเพื่อให้เป็นทางเลือกของผู้ประกอบการในการรักษา

8.ทบทวนแรงงานคนพิการ ซึ่งกระทรวงแรงงานกำหนดให้สถานประกอบการซึ่งมีแรงงานทุก 100 คนจะต้องจัดหาแรงงานพิการ 1 คน หากไม่ครบจะต้องส่งเงินสมทบกองทุนช่วยเหลือคนพิการ แต่โดยข้อเท็จจริงแรงงานคนพิการมีไม่พอ อีกทั้งคนพิการมีทางเลือกไปประกอบอาชีพอิสระที่มีรายได้สูงกว่า กระทรวงแรงงานควรมีหน่วยงานรับแจ้งความต้องการของเอกชนและจัดหาแรงงานคนพิการให้พอเพียง หากหาไม่ครบเอกชนก็ไม่ควรต้องเสียค่าเงินสมทบกองทุนซึ่งปัจจุบันเป็นปัญหามากในภาคอุตสาหกรรม

อนึ่ง สภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทยได้จัดทำ“ทิศทางเศรษฐกิจไทยและความเชื่อมั่นการจ้างงานปี 2558” ในช่วงระหว่างเดือนพ.ย.-ธ.ค. จากผู้ประกอบการภาคเหนือ ณ จังหวัดพิษณุโลก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ จังหวัดขอนแก่น และภาคใต้ ณ จังหวัดสงขลา รวมทั้งที่ กทม. พร้อมจัดทำแบบสำรวจไปยังผู้ประกอบการเพื่อสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มผลประกอบการปี 2557 และความเชื่อมั่นทางธุรกิจรวมทั้งการจ้างงานปี 2558


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ